0



รัสเซียในสายตาอังกฤษ ภัยคุกคามหรือโอกาส ?

รัฐบาลอังกฤษต้องเผชิญภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมานานแล้ว เมื่อต้องรับมือกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซีย อังกฤษควรปฏิบัติต่อรัสเซียในฐานะภัยคุกคามมากเพียงใดและถือว่ารัสเซียเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจมากแค่ไหน

บริดเจท เคนดัลล์ ผู้สื่อข่าวสายการทูตของบีบีซีวิเคราะห์ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศอยู่ในภาวะลุ่ม ๆ ดอน ๆ มานับตั้งแต่เกิดการฆาตกรรมนายอเล็กซานเดอร์ ลิตวิเนนโกเมื่อราวสิบปีก่อน ตอนแรกรัฐบาลนายกอร์ดอน บราวน์ มีท่าทีแข็งกร้าว เช่น เนรเทศนักการทูตรัสเซีย จำกัดวีซ่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลรัสเซีย และแทบจะยุติความร่วมมือด้านข่าวกรองระหว่างกัน ทั้งนี้เพื่อลงโทษรัสเซียที่ไม่ร่วมมือในการสืบสวนการฆาตกรรมนายลิตวิเนนโก ซึ่งดูจะสะท้อนความเชื่อของอังกฤษว่า หน่วยงานด้านความมั่นคงของรัสเซียอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมดังกล่าว

แต่ท่าทีเป็นปฏิปักษ์แบบเปิดเผยเปลี่ยนไปเมื่อนายเดวิด คาเมรอน ขึ้นเป็นผู้นำประเทศเมื่อปี 2553 เนื่องจากอังกฤษมีหนี้สินท่วมตัวจากวิกฤตการคลังปี 2551 จึงให้ความสำคัญยิ่งกับโอกาสทางการค้ากับต่างประเทศ และหาทางปรับปรุงความสัมพันธ์กับรัสเซีย ถึงขนาดที่นายคาเมรอนเดินทางไปเจรจากับประธานาธิบดีปูตินที่รัสเซีย เรียกว่า "เก็บ" ข้อพิพาทไว้ก่อน เพื่อไม่ให้ขัดขวางความสัมพันธ์ และเชิญนายปูตินเป็นแขกส่วนตัวในระหว่างที่นายปูตินมากรุงลอนดอน เพื่อชมนักกีฬารัสเซียแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กรุงลอนดอนเป็นเจ้าภาพเมื่อปี 2555

ต่อมาเมื่อปี 2557 เกิดวิกฤตยูเครนขึ้น เมื่อผู้นำรัสเซียผนวกคาบสมุทรไครเมียของยูเครนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย โดยอ้างว่าไครเมียเป็นของรัสเซียมาแต่ครั้งประวัติศาสตร์ ทั้งอังกฤษและมหาอำนาจตะวันตกต่างมองว่า การกระทำของรัสเซียไม่เคารพอธิปไตยของยูเครน และเป็นการท้าทายความมั่นคงของยุโรปด้วย

ความสัมพันธ์ร้าวฉานหนักยิ่งขึ้น เมื่อนายปูตินประกาศสงวนสิทธิ์ที่จะเข้าแทรกแซงในทุกที่เพื่อคุ้มครองชาวรัสเซีย รวมทั้งในภาคตะวันออกของยูเครน โดยก่อนหน้านั้น ได้เกิดการสู้รบระหว่างทหารยูเครนกับกบฏในท้องถิ่น ที่ดูเหมือนจะได้รับความช่วยเหลือจากกองกำลังพิเศษของรัสเซีย แต่รัสเซียปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

ความสัมพันธ์อังกฤษ-รัสเซียจึงเย็นชาอีกครั้ง อังกฤษกับรัฐบาลประเทศตะวันตกเริ่มพูดถึงรัสเซียภายใต้การนำของนายปูตินว่า เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อความมั่นคงของตน ขณะที่รัสเซียเริ่มตำหนิสหรัฐฯ กับชาติตะวันตกว่าพยายามจุดไฟเพื่อต่อต้านรัสเซีย

พอสถานการณ์มาถึงจุดนี้ เห็นได้ชัดว่ารัฐบาลอังกฤษเลิก “ดอง” คดีนายลิตวิเนนโกอีกต่อไป โดยได้ประกาศว่าจะมีการไต่สวนถึงสาเหตุการเสียชีวิตของนายลิตวิเนนโกอย่างเปิดเผย อย่างไรก็ตามขณะที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการไต่สวน บรรยากาศทางการทูตก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ประเทศตะวันตกปรับท่าทีใหม่เน้นความเหมาะสมในทางปฏิบัติ ในขณะที่รัสเซียก็เริ่มกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจของตนอีกครั้ง

ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ชาติตะวันตกจึงค่อย ๆ เปลี่ยนท่าทีต่อนายปูติน จากการมองว่าเป็นภัยร้าย มาเป็นการยอมรับแบบไม่ค่อยเต็มใจว่า แม้ไม่ควรไว้วางใจ แต่ก็ไม่ควรตัดญาติขาดมิตรกับเขาโดยสิ้นเชิง เพราะบทบาทของรัสเซียในระบบเศรษฐกิจโลกนั้นสำคัญกว่าที่จะเพิกเฉย

นอกจากนั้น ยังมีประเด็นเรื่องบทบาทด้านบวกของรัสเซียในการเจรจาเกี่ยวกับกิจกรรมนิวเคลียร์ของอิหร่าน ซึ่งส่งผลให้มีการบรรลุข้อตกลง และยกเลิกการคว่ำบาตรอิหร่านเกือบทั้งหมด ตลอดจนเรื่องซีเรีย ที่ประธานาธิบดีปูตินเข้าร่วมสงครามเพื่อสนับสนุนกองกำลังของประธานาธิบดีอัสซาด ซึ่งทำให้มหาอำนาจตะวันตกที่ยังคงระแวงรัสเซียตกใจ แต่ก็ต้องการเกลี้ยกล่อมให้รัสเซียมีบทบาททางการทูตในซีเรีย และโน้มน้าวให้รัฐบาลนายอัสซาดยอมประนีประนอม ซึ่งอาจจะยุติการสู้รบกับฝ่ายกบฏและหันไปมุ่งโจมตีศัตรูที่สำคัญกว่าคือกลุ่มนักรบมุสลิมติดอาวุธ

เมื่อเดือนพ.ย. ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีอังกฤษกับประธานาธิบดีรัสเซียได้จับมือกันในการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศจี 20 ที่ตุรกี ซึ่งบ่งบอกถึงความร่วมมือฉันมิตร แต่รายงานการไต่สวนคดีนายลิตวิเนนโก ทำให้เกิดความเย็นชาอีกครั้ง และอาจเลวร้ายกว่าที่เคยเป็นมา อังกฤษกล่าวเป็นนัยว่า อาจพิจารณามาตรการเพิ่มเติม ในขณะที่ทางมอสโกก็เตือนว่าจะตอบโต้ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์สองฝ่ายยิ่งขึ้น

แต่เรื่องที่รัฐบาลอังกฤษจะต้องตัดสินใจในเวลานี้ก็คือ จะเปิดช่องการติดต่อสื่อสารกับนายปูตินต่อไปอีกนานเพียงใด ในขณะที่จะต้องส่งสัญญาณถึงผู้นำรัสเซียด้วยว่า ไม่ควรคิดว่าจะลอยนวลไปได้ ไม่ว่าจะในเรื่องใด โดยเฉพาะในเรื่องที่ดูเหมือนว่า รัสเซียเกี่ยวข้องกับการก่ออาชญากรรมบนแผ่นดินอังกฤษ #UKRussia #RussiaUK #Putin #Cameron #Assad #IranSanction #Litvinenko

ภาพประกอบ ภาพแรก นายกรัฐมนตรีคาเมรอนกับประธานาธิบดีปูติน ในการพบหารือในระหว่างการประชุมจี 20 ที่ตุรกีเมื่อเดือนพ.ย. 2558, ภาพ 2 ภาพวาดนายลิตวิเนนโก ที่ห้องแสดงภาพวาดแห่งหนึ่งในกรุงมอสโก, ภาพ 3 ประธานาธิบดีปูตินกับนายกรัฐมนตรีคาเมรอน พร้อมกับผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ จี 8 ในไอร์แลนด์เหนือเมื่อปี 2556, ภาพ 4 เรือลาดตระเวนมอสควาของรัสเซียในทะเลเมดิเตอร์เรเนีย นอกชายฝั่งซีเรีย


Loading video....
Posted by บีบีซีไทย - BBC Thai on Friday, January 22, 2016

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

 
Top