สหรัฐฯ หวังพึ่งสหประชาชาติรับมือผู้อพยพจากอเมริกากลาง
สหรัฐฯ ขอความช่วยเหลือจากสหประชาติในการรับมือกับผู้อพยพจำนวนมากที่หลบหนีจากความรุนแรงในอเมริกากลางและมุ่งหน้ามายังสหรัฐฯ โดยหวังให้สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติจัดตั้งศูนย์รับเรื่องในประเทศแถบอเมริกากลางหลายประเทศเพื่อให้คนเหล่านั้นยื่นสมัครขอตั้งถิ่นฐานในภูมิภาคดังกล่าว
ปัญหาความรุนแรงและความยากจนในหลายประเทศแถบอเมริกากลางเป็นสาเหตุผลักดันให้มีผู้อพยพจำนวนมากหลั่งไหลไปยังสหรัฐฯ พวกเขาไม่สามารถยื่นขอตั้งถิ่นฐานขณะอยู่ในประเทศของตนได้ จึงต้องเดินทางไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อขอไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่สาม
สหรัฐฯ หวังว่าศูนย์เหล่านี้อย่างน้อยก็จะให้การคุ้มครองความปลอดภัยชั่วคราวได้ระหว่างที่มีการพิจารณาคำร้อง และยังหมายความว่าผู้อพยพจะถูกส่งไปยังประเทศอื่นๆ นอกจากสหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยให้พวกเขา “หลีกเลี่ยงการเดินทางที่สุดแสนจะอันตรายเพื่อไปยังสหรัฐฯ” เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ อาวุโสรายหนึ่งกล่าว
ในช่วงไม่นานมานี้ ทำเนียบขาวต้องรับมือกับเสียงตำหนิจากสมาชิกพรรคเดียวกันกับประธานาธิบดีเกี่ยวกับการบุกจับผู้อพยพเพื่อส่งตัวออกนอกประเทศที่เกิดขึ้นหลายครั้งในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดปีใหม่มีผู้อพยพ 120 คนถูกส่งตัวออกนอกประเทศ
เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาครั้งสุดท้ายของนายโอบามาในวันอังคาร สมาชิกสภาผู้แทนจากพรรคเดโมแคร็ตกว่า 140 คนร่วมลงชื่อในหนังสือเรียกร้องให้รัฐบาลหยุดการบุกจับดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่รายเดิมก็บอกกับบีบีซีว่าแผนขอความช่วยเหลือจากสหประชาชาติไม่ได้เป็นผลจากเรื่องนี้ แต่ได้รับการวางแผนมาหลายเดือนแล้ว เมื่อถูกถามว่าจะมีการระงับการบุกจับไว้ก่อนหรือไม่ เขาบอกว่าการให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่ปี 2557 แล้ว
ในแต่ละปี สภาคองเกรสของสหรัฐฯ จะกำหนดเพดานสำหรับจำนวนผู้อพยพที่จะรับมาตั้งถิ่นฐานในสหรัฐฯ เพดานปัจจุบันคือ 85,000 คนจากทั่วโลก ในปี 2557 เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ ตรวจจับเด็กที่ไม่มีผู้ใหญ่เดินทางด้วยได้กว่า 68,000 คนตามพรมแดนด้านใต้ของประเทศ
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น