สหรัฐฯ เตือนการประหารผู้นำนิกายชีอะห์ อาจก่อให้เกิดความตึงเครียดในตะวันออกกลาง

ภาพประกอบ บริเวณสถานทูตซาอุดีอาระเบีย ณ กรุงเตหะราน ตอนเช้าวันนี้ (3 ม.ค.)

บีบีซีไทย - BBC Thai

สหรัฐฯ เตือนการประหารผู้นำนิกายชีอะห์ อาจก่อให้เกิดความตึงเครียดในตะวันออกกลาง

สหรัฐฯ แสดงความเป็นห่วงว่า การที่ซาอุดีอาระเบียประหารชีวิต เชค นิมร์ อัล-นิมร์ ผู้นำทางศาสนาคนสำคัญในนิกายชีอะห์ อาจเป็นชนวนเหตุให้ความขัดแย้งระหว่างนิกายรุนแรงขึ้นในตะวันออกกลาง

กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ เรียกร้องให้รัฐบาลซาอุดีอาระเบียและประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคยอมให้มีการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกันอย่างสันติ และดำเนินความพยายามเป็นสองเท่า เพื่อบรรเทาความตึงเครียดที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันได้เรียกร้องให้ซาอุดีอาระเบียเคารพและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมทั้งรับประกันว่ากระบวนการยุติธรรมจะมีความเป็นธรรมและโปร่งใส

เชค นิมร์ เป็นหนึ่งในนักโทษ 47 คนที่ทางการซาอุดีอาระเบียประหารชีวิตในความผิดฐานก่อการร้ายเมื่อวานนี้ (2 ธ.ค.) โดยเขาเป็นแกนนำคนสำคัญที่สนับสนุนให้ผู้นับถือนิกายชีอะห์ซึ่งเป็นเสียงส่วนใหญ่ในจังหวัดทางตะวันออกของซาอุดีอาระเบียลุกฮือขึ้นประท้วงการกดขี่ของรัฐบาล เมื่อปี พ.ศ. 2554

ข่าวการประหารชีวิต เชค นิมร์ ได้จุดกระแสความโกรธแค้น และการประท้วงในหมู่ชาวมุสลิมนิกายชีอะห์ทั่วภูมิภาค ทั้งในจังหวัดทางตะวันออกของซาอุดีอาระเบีย บาห์เรน และในอีกหลายประเทศ
ในอิหร่าน ซึ่งคนส่วนใหญ่นับถือนิกายชีอะห์ มีการประท้วงเมื่อช่วงค่ำวานนี้ โดยผู้ประท้วงที่โกรธแค้นได้บุกเข้าทำลายและจุดไฟเผาสถานทูตซาอุดีอาระเบียในกรุงเตหะราน ก่อนที่ตำรวจจะเข้าสลายการชุมนุม

ส่วนทางการอิหร่าน ซึ่งเป็นคู่อริสำคัญของซาอุดีอาระเบียที่คนส่วนใหญ่นับถือนิกายซุนนีได้เรียกตัวอุปทูตซาอุดีอาระเบียเพื่อประท้วงกรณีที่เกิดขึ้น ขณะที่ซาอุดีอาระเบีย ตอบโต้ด้วยการเรียกตัวทูตอิหร่านประจำกรุงริยาดเข้าพบเพื่อแสดงความไม่พอใจต่อการ “แทรกแซงกิจการภายในอย่างโจ่งแจ้ง” ของอิหร่าน

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุว่า การประหารชีวิตนักโทษ 47 คน แสดงให้เห็นว่าทางการซาอุดีอาระเบียไม่สนใจใยดีต่อสิทธิมนุษยชนและชีวิต พร้อมชี้ว่า การพิจารณาคดีของ เชค นิมร์ เป็นเรื่องทางการเมืองและไม่เป็นธรรม ด้านซาอุดีอาระเบีย ปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าเลือกปฏิบัติต่อชาวมุสลิมนิกายชีอะห์ และโทษอิหร่านว่าปลุกปั่นให้เกิดกระแสความโกรธแค้นขึ้น

ภาพประกอบ บริเวณสถานทูตซาอุดีอาระเบีย ณ กรุงเตหะราน ตอนเช้าวันนี้ (3 ม.ค.)