0

ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติชีไทยยังไม่จำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ย เพราะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยังได้ผล
ดร. วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวรอยเตอร์ชี้ว่า ประเทศไทยยังไม่จำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อรองรับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน เพราะนโยบายด้านการเงินและมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการบริโภคในประเทศ ช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ โดยขณะนี้มีสัญญาณบ่งบอกว่าเศรษฐกิจกำลังโตอย่างช้า ๆ แบบค่อยเป็นค่อยไป
ประเทศไทยซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กำลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยการส่งออกหดตัวลงต่อเนื่อง 3 ปีแล้ว และกำลังซื้อในประเทศลดลง ในขณะที่หนี้ภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้น จีนจัดเป็นประเทศคู่ค้าหลักของไทยประเทศหนึ่งซึ่งการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ย่อมส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยที่มีมีสัดส่วนกว่า 60% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)
อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าการธปท. เห็นว่าไม่จำเป็นต้องปรับนโยบายด้านการเงินที่ดำเนินอยู่ในขณะนี้ โดยในปีนี้ ธปท. คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 0.8% ซึ่งต่ำกว่าช่วงเป้าหมายระหว่าง 1.0 - 4.0% ด้านอัตราดอกเบี้ย ขณะนี้ ธปท. ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ที่ใช้มามาตั้งแต่เดือน เม.ย.
ส่วนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ ผู้ว่าการ ธปท. ยืนยันตัวเลขคาดการณ์ของ ธปท. ที่ระบุว่า จีดีพีปีนี้จะโต 3.5% โดยเขาชี้ว่าการคาดการณ์ของธนาคารโลกที่ระบุว่า จีดีพีของไทยจะต่ำที่สุดในอาเซียน อยู่ที่ 2% นั้น เป็นการคาดการณ์ที่ไม่ได้พิจารณาถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม การที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกอาจลดลงอีก อาจทำให้ต้องปรับตัวเลขคาดการณ์ใหม่
ผู้ว่าการ ธปท. เห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีความยืดหยุ่นต่อความผันผวนมากกว่าตลาดเกิดใหม่อีกหลายชาติ เพราะว่าในไทย นักลงทุนต่างชาติถือครองพันธบัตรและหุ้นในระดับที่ค่อนข้างต่ำ ดังนั้นตลาดไทยจึงมีความเสี่ยงน้อยกว่าในกรณีที่อาจมีการเคลื่อนย้ายทุนออกนอกประเทศ
ดร. วิรไทมองถึงประเด็นท้าทายของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ว่า มีความเสี่ยงมาจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย นอกจากนั้นยังมีประเด็นอื่นเข้ามารุมเร้าด้วย คือปัญหาในภาคการผลิตและอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ได้มีการปรับตัวให้ทันสมัย ราคาผลผลิตทางการเกษตรที่ตกต่ำและภัยแล้งซึ่งเป็นประเด็นท้าทายสำหรับเศรษฐกิจในชนบท
ผู้ว่าการ ธปท. ชี้ว่าจำเป็นต้องปฏิรูปโครงสร้างรัฐวิสาหกิจและเร่งการลงทุนของภาครัฐ เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกและชดเชยเวลาที่เสียไปในช่วงที่เกิดวิกฤตทางการเมือง โดยการเข้าร่วมข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เอเชียแปซิฟิกอาจช่วยให้ไทยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้ ‪#‎ThailandEconomy‬‪#‎BOT‬
ภาพประกอบ ดร. วิรไท สันติประภพ


แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

 
Top