ตำรวจ
ดี ช่วยเหลือสังคมมา อย่างต่อเนื่อง คือ พล.ต.อ. พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง
ผบ.ตร. ที่เข้ามาช่วยแก้ไข ปัญหาและเคลียร์หนี้สินที่ติดอยู่อีกครั้ง
พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระของสถานรับเลี้ยง
เด็ก คือล้างหนี้บ้านครูน้อย สามารถเปิดเลี้ยงเด็กได้ต่อ พม.จัดระบบแก้ไข
'สถานรับเลี้ยงเด็กบ้านครูน้อย'
เป็นอีกที่พึ่งสำคัญของเด็กยากไร้และด้อยโอกาสในสังคม โดยเปิดรับดูแลช่วย
เหลือนานกว่า 35 ปี
แต่ในช่วงที่ผ่านมาสถานรับเลี้ยงเด็กบ้านครูน้อยต้องฝ่าฟันกุบมรสุม
มากมาย โดยเฉพาะปัญกหา หนี้สินที่กู้ยืมมา เพื่อนำเงินมาใช้จุน
เจือดูแลเด็กที่รับ เลี้ยงไว้หลายสิบคน.
จนในที่สุดครูน้อยจำใจต้องประกาศปิด สถานรับเลี้ยงเด็ก แห่งนี้ลง
เนื่องจากมิอาจแบก รับภาระหนี้สินที่พอกพูนไว้ได้ พร้อมประกาศขายบ้าน
เพื่อนำเงินมาชำระ หนี้ที่ติดค้างอยู่
แต่ด้วยสถานรับเลี้ยงเด็กบ้านครูน้อยถือ
เป็นสถานที่สำคัญในการรับดูแลช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสมาช้านานและทำประโยชน์
ต่อสังคม จึงมีหลายฝ่ายยื่นมือเข้าให้การช่วยเหลือ รวมถึง พล.ต.อ.พงศพัศ
พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร.
ที่เข้ามาช่วยเหลือแก็ไขปัญหาและเคลียร์หนี้สินที่ติดอยู่อีกครั้ง
พร้อมประสานงาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระของสถานรับ
เลี้ยงเด็ก. ทำให้บ้านครูน้อยสามารถเดินหน้าได้ต่อ
อีกครั้ง. ในวันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา
พล.ต.อ.พงศพัศ พร้อมตำรวจในพื้นที่ได้เดินทางไปตรวจ
สอบและร่วมกันเลี้ยงอาหารกลางวันเด็ก โดย พล.ต.อ.เคลียร์หนี้ให้
และยังมอบเงินตั้งต้นให้กับครูน้อย 100,000บาท (หนึ่งแสนบาท)ด้วย
พล.ต.อ.พงศพัศ เปิดเผยถึงการเดินทางมาครั้งนี้ว่า
จากการพูดคุยกับครูน้อยว่าจะเข้ามาช่วย เหลือดูแลเด็กทั้ง 65
คนที่อยู่ในความอุปการะ ทำให้บ้านครูน้อยไม่ปิดทำการลง โดยจะเปิดต่อไปอีก
เป็นเวลา 3 ปี เพื่อดูแลเด็กๆ ให้เติบโตต่อไป
ส่วนหนี้นอกระบบตอนนี้เท่าที่รู้มาพบว่ามี 21
รายซึ่งตนชำระไปให้แล้วครึ่งหนึ่งเป็นเงิน 1,600,000 บาท
แต่ยังมีเจ้าหนี้บางรายที่ยังไม่เปิดเผยตัว จึงให้ พ.ต.อ.เจษฎา สวยสม
ผกก.สน.ราษฏร์บูรณะ ไปติดตามหาตัวเจ้า หนี้ เพื่อเคลียร์หนี้นอก
ระบบให้หมดอีกครั้งหนึ่ง โดยจะบอกเจ้าหนี้นอกระบบว่าอย่าให้ครู
น้อยมายืมเงินไปอีก ขอให้ผู้ปล่อยกู้อย่า เห็นแก่ดอกเบี้ยที่จะ ได้
เพราะเงินดอกเบี้ยที่ ได้ไปเป็นเงินที่จะต้องใช้เลี้ยงดูเด็กๆ
เพื่อให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ.
ด้านครูน้อยเปิดเผยหลังได้รับการช่วย เหลือว่า
หลังประกาศจะปิดบ้านทำให้รู้สึกว่าชีวิตไม่มีความสุข ที่ผ่านมามีความผูก
พันกับเด็กๆ ถึงแม้จะไม่ใช่ลูกหลานแทัๆ แต่ก็มีความเอ็นดูเหมือนญาติ
และการช่วยเหลือครั้งนี้ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีของชีวิตเด็กๆ และครู
ได้เริ่มต้นชีวืตใหม่อีกครั้ง.
รวมทั้งขอยืนยันว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้รับบริจาคมา ไม่เคยเอาเข้ากระ
เป๋าแม้แต่บาทเดียว
ทุกอย่างที่หมดไปก็เพราะต้องนำมาใช้จ่ายซื้อข้าวของมาดูแลเด็กที่อยู่ในบ้าน
สำหรับรายละเอียด หาอ่านได้ ใน นสพ.ข่าวสด
ฉบับวันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม 2558 หน้า2. เกี่ยวกับ แฟ้มคดี





