สรุปสั้นๆ กับคดีวิโรจน์ (ถ้าไม่ต้องพันตู รธน.จะเขียนเยอะกว่านี้) ความเป็นธรรมไม่เป็นธรรมอยู่ตรงไหน ถูกผิดเราเห็นต่างกันได้ แต่ประเด็นคือวิโรจน์กับจำเลยรวม 19 คน สมควรไหมที่ต้องขึ้นศาลชั้นเดียวซึ่งกฎหมายวิธีพิจารณา บอกให้ยึดสำนวน คตส.เป็นหลัก
คดีนี้เริ่มปี 47 โดยหม่อมอุ๋ย โดยตอนนั้นทักษิณก็ไม่ยักช่วยวิโรจน์ (ลอยแพจน สนธิ ลิ้ม โกรธด้วยซ้ำ) เรื่องนี้น่าจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังกันเยอะ แต่พอรัฐประหาร คตส.จะเล่นงานทักษิณ ก็ดึงคดีนี้ไปขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพร้อมจำเลยยกพวง แต่ผลกลับกลายเป็นว่า 1.ทักษิณหนี แต่จำเลยที่เหลือต้องขึ้นศาลนี้อยู่ 2.ร้ายกว่านั้นอีก เพราะศาลชี้ (ถูกต้องแล้ว) ว่าแค่คำว่า "บิ๊กบอส" ไม่เพียงพอ
สรุปเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากวิโรจน์กับพวก "ซวย" เพราะใครล่ะลากทักกี้เข้ามา ทั้งที่วิโรจน์ก็ไม่ใช่แดง ไม่ได้ช่วยไม่ได้เชียร์อะไรกับพลังประชาชนเพื่อไทยทั้งสิ้น สนธิ ลิ้ม สิกลับคร่ำครวญด้วยซ้ำ (ขำๆ ญาติวิโรจน์เห็นเก่ง การุณ คุยว่าไปเยี่ยมยังยัวะ ออกมาแฉว่าไอ้เก่งมันไปเยี่ยมเด็จพี่ต่างหาก แค่ผ่านวิโรจน์ฉากๆ ทำคุย-สันนิษฐานได้เลยว่าญาติเป่านกหวีด)
ถ้าไม่เกิดรัฐประหาร วิโรจน์กับ 19 คนก็ขึ้นศาล 3 ชั้น อัยการคดีเศรษฐกิจฟ้อง เหมือนศิรินทร์ หรือเหมือนคดีบีบีซี ที่จนป่านนี้ยังไม่มีใครติดคุกเลย
ป.ล.แซวรัฐมนตรีไอซีทีบ้าซินแสด้วยนะว่า ร่วมลงมติมาด้วยกัน 5 คน ถ้าผิดก็ผิดด้วยกัน ชั่วก็ชั่วด้วยกัน แต่ 3 คนติดคุก อีกคนเป็นรัฐมนตรี
00000
คดีทุจริตผู้บริหารธนาคารกรุงไทยปล่อยสินเชื่อเครือกฤษดามหานคร ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุกวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการ 18 ปี พร้อมกับอดีตบอร์ด เจ้าหน้าที่ และกรรมการบริษัทลูกหนี้ รวม 19 คน คนละ 12, 18 ปี เป็นคดีที่ “ช็อก” ทั้งแวดวงการเมืองการธนาคาร ด้วยความมีชื่อเสียง ด้วยจำนวนคน และบทลงโทษ ซึ่งน่าจะหนักที่สุดตั้งแต่เคยมีการดำเนินคดีผู้บริหารแบงก์
คดีบีบีซีว่าหนักกว่านี้ก็ยังไม่มีใครติดคุกจริงไม่เหมือนวิโรจน์ ซึ่งโรคหัวใจกำเริบหลังเข้าเรือนจำ สร้างความสะเทือนใจให้กับคนรักนับถือที่มีไม่น้อย
สื่อบางสำนัก (ซึ่งรู้กันว่าเจ้าสำนักรักผูกพันกับวิโรจน์) โวยว่าคดีนี้ “ตัวการใหญ่” คือทักษิณลอยนวล บิ๊กกรุงไทยแพะรับบาป แหม่ พูดราวกับจะเถียงแทนวิโรจน์ว่าไม่ผิด
ผมจะไม่ถกเถียงหรอกนะว่าวิโรจน์ผิดไม่ผิด เพราะคำพิพากษาถึงที่สุดไปแล้ว เพียงแต่เมื่อไล่เรียงย้อนอดีต ก็มีประเด็นน่าคิดว่าถ้า “การเมืองเรื่องทักษิณ” ไม่มาพัวพัน วิโรจน์กับพวกจะมีโอกาสต่อสู้คดีมากกว่านี้ไหม
วิโรจน์เป็น MD แบงก์กรุงไทยเมื่อปี 44 ยุคทักษิณที่มีสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็น รมว.คลัง วิโรจน์ทำให้แบงก์กรุงไทยเป็นผู้นำปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ขณะเดียวกันกรุงไทยก็ถูกครหาเรื่องปล่อยกู้เครือข่ายนักการเมือง
วิโรจน์ได้รับเลือกเป็น MD รอบสองปี 47 แต่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าฯแบงก์ชาติขณะนั้นสกัดกั้นไม่ให้เป็น ตั้งข้อหาเรื่องปล่อยสินเชื่อกฤษดามหานคร สุดท้ายบอร์ดกรุงไทยจึงตั้งอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลังคนปัจจุบัน เข้าไปเป็น MD แทน
หม่อมอุ๋ยดำเนินคดีวิโรจน์กับพวก โดยกัน 2 ใน 5 กรรมการบริหารเป็นพยาน คือ ชัยณรงค์ อินทรมีทรัพย์ และ อุตตม สาวนายนซึ่งวิโรจน์เคยโต้ว่าลงมติเอกฉันท์มาด้วยกัน ถ้าผิดก็ผิดด้วยกันถ้าชั่วก็ชั่วด้วยกัน ทำไมฟ้องแค่ 3 แต่อีก 2 คนรอด (แถมรอดมาเป็นรัฐมนตรีคนดีคนเก่งอีกต่างหาก)
คดีนี้เริ่มแรกก็เป็นคดีเศรษฐกิจ แต่หลังรัฐประหาร 2549 คตส.ดึงคดีนี้มาโยงทักษิณ โดยอ้างว่า ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฏ์ บอกที่ประชุมว่า “บิ๊กบอส” สั่ง ซึ่งทุกคนเข้าใจว่าหมายถึงทักษิณทำให้คดีนี้เปลี่ยนไปขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
แต่พอขึ้นศาล ศาลก็สั่งจำหน่ายคดีทักษิณซึ่งหลบหนี เหลือแต่พวกที่ไม่ใช่นักการเมือง ซ้ำคำพิพากษายังชี้ว่า ที่จำเลยถูกกล่าวหาร่วมหรือสนับสนุนให้ทักษิณทำผิดนั้น ยังไม่มีพยานหลักฐานชัดเจน “บิ๊กบอส” คือใครกันแน่ เส้นทางการเงินที่ว่าโอนเงินให้บุตรภรรยาก็ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจน
บางคนร้องว่าไหงเป็นงั้น แต่ศาลท่านวินิจฉัยถูกแล้วครับ ต้องถาม คตส.ปปช.และอัยการต่างหากว่าหลักฐานแค่นี้นี่นะ ที่คุณเอาทักษิณมาโยงจนอีก 19 คนต้องขึ้นศาลชั้นเดียว
จากศาล 3 ชั้นเหลือชั้นเดียว บางคนว่าชั้นเดียวก็พอ แต่ทราบไหมกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มาตรา 5 เขียนบังคับว่า ให้ศาลยึดรายงาน ปปช.เป็นหลัก ซึ่งในที่นี้ก็คือยึดสำนวนสอบสวนของ คตส.ต่างกับคดีอาญาทั่วไปที่ไม่ได้บอกให้ยึดสำนวนอัยการเป็นหลัก
พูดอย่างนี้ไม่ใช่สรุปว่าถ้าขึ้น 3 ศาล วิโรจน์จะมีโอกาสมากกว่าแต่อย่างน้อยพวกเขาก็จะได้สิทธิตามที่ควรได้ เพราะพวกเขาไม่ใช่นักการเมือง แต่ใครล่ะ ลากมาโยงนักการเมือง
ใบตองแห้ง
Source :- FB Atukkit Sawangsuk & http://www.kaohoon.com/online/content/view/17296