นิธิ เอียวศรีวงศ์: อวสานหงสา
Posted: 15 May 2016 09:09 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
ที่จะคุยต่อไปนี้ ไม่เกี่ยวอะไรกับสมเด็ จพระนเรศวรเลย แต่ผมอยากจะเสนอว่า อวสานหงสานั้นมีส่วนอย่างสำคั ญต่ออวสานอยุธยาในกว่าศตวรรษครึ ่งต่อมา อวสานหงสาอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ ทำให้กรุงศรีอยุธยาล่มสลายลง มากเสียกว่าการแย่งชิงราชสมบัติ กัน หรือความไร้สมรรถภาพของผู้ นำประเทศ อย่างที่มักยกเป็นสาเหตุของกรุ งแตกเสียอีกก็ได้
แม้พระนเรศวรไม่ใช่ผู้ ปราบหงสาโดยตรงแต่อวสานหงสาเป็ นเหตุหนึ่งที่ทำให้ราชวงศ์ตองอู ในระยะแรกสิ้นสลายลงซึ่งก็นั บเป็นโชคดีของราชวงศ์ตองอูหรื อพม่าเพราะระบบปกครองของราชวงศ์ ตองอูระยะแรกนั้นไม่น่ าจะทนทานต่อไปได้อีกนานเท่ าไรอยู่แล้ว เมื่อขาดกษัตริย์ที่ ชาญฉลาดและเก่งกล้าสามารถอย่ างพระเจ้าบุเรงนอง ทุกรัชกาลจะสิ้นสุดลงด้ วยการแตกสลายของจักรวรรดิ เพราะเจ้านายที่ครองเมืองลู กหลวง พากันแข็งเมืองต่อรัชทายาท ในที่สุดพม่าก็จะกลับไปสู่ สภาพจลาจลเหมือนเมื่อสิ้นอาณาจั กรพุกาม หัวเมืองใหญ่ทั้งหลายต่างตั้งตั วเป็นอิสระ และทำสงครามระหว่างกันอยู่บ่อยๆ เปิดโอกาสให้คนจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นมองโกล, ไทยใหญ่, หรืออาณาจักรใกล้เคียง บุกทะลวงเข้ามาปล้นสะดมและยึ ดครองหัวเมืองในลุ่มน้ำอิรวดีอี ก
การกลับคืนขึ้นสู่ส่วนในแผ่นดิ นของราชวงศ์ตองอูที่ฟื้นฟูขึ้ นใหม่โดยสถาปนาราชธานีที่อั งวะกลับเป็นโอกาสให้ได้ สถาปนาระบบปกครองแบบใหม่ที่ ทำให้การรวมศูนย์อำนาจอย่างยั่ งยืนถาวรเป็นไปได้ใช่แต่เพี ยงเท่านั้ นการขยายอำนาจนำของราชวงศ์ผ่ านพระพุทธศาสนา, อักขระวิธี, วรรณกรรม, การขยายตัวของเศรษฐกิจภายใน และการสร้างมาตรฐานกลางของอั ตราน้ำหนัก, เงินตรา ตลอดจนความชอบธรรมของราชวงศ์พม่ าเหนือชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ทั้งหมด ยังทำให้พม่ากลายเป็นราชอาณาจั กรที่แข็งแกร่งในเชิงโครงสร้าง เหนือรัฐเถรวาทอื่นๆ ในอุษาคเนย์อีกด้วย แม้ว่าในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 เนื่องจากความเสื่ อมโทรมของพระราชอำนาจ อันเป็นผลมาจากการขยายตั วของการค้าระหว่างประเทศ ทำให้ราชวงศ์ตองอูล่มสลายลง เพราะการกบฏของชนกลุ่มน้อยในจั กรวรรดิ โดยเฉพาะพวกมอญซึ่งสามารถตีอั งวะแตก ถึงกระนั้น ในเวลาไม่นาน เมื่ออลองพญาสามารถตั้งราชวงศ์ ขึ้นใหม่ได้สำเร็จ การ "ปฏิรูป" ด้านต่างๆ ที่ราชวงศ์ตองอูซึ่งฟื้นฟูขึ้ นใหม่ได้วางรากฐานไว้แล้ว ก็ดำเนินต่อไป อย่างคึกคักยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ผมขอพูดถึงบางเรื่องในการปฏิรู ปของราชวงศ์ตองอูที่ฟื้นฟูขึ้ นใหม่
การถอยกลับขึ้นไปสู่ส่วนในนั้ นนักวิชาการแต่ก่อนโดยเฉพาะอดี ตเจ้าหน้าที่อาณานิคมอังกฤษมั กอ้างว่าเป็นต้นเหตุให้พม่ าทอดทิ้งการค้าระหว่ างประเทศเลยพลอยไม่ค่อยรับรู้ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้ นในโลกภายนอก(เพื่อให้เหตุผลว่า กษัตริย์พม่าล้าหลังเสี ยจนสมควรต้องตกเป็นเมืองขึ้นอั งกฤษ) แต่นักวิชาการรุ่นหลังชี้ว่า ข้อเท็จจริงตามหลักฐานมิได้เป็ นเช่นนั้น เพราะราชวงศ์ตองอูที่อังวะ สามารถควบคุมตอนล่างของลุ่มอิ รวดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงสามารถรับผลประโยชน์จากการค้ าระหว่างประเทศทางทะเลได้เต็ มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ต่างจากราชอาณาจักรที่มี ราชธานีไม่ไกลจากทะเลเช่นกัน
ยิ่งไปกว่าการค้าทางทะเลการค้ าทางบกเชื่อมต่อกับยูนนานของจี นรุ่งเรืองขึ้นอย่างสม่ำเสมอปริ มาณของสินค้าที่ส่งผ่านการค้ าทางบกนี้ไม่อาจระบุเป็นตั วเลขได้แต่จากหลักฐานแวดล้อมอื่ นๆชี้ว่า ปริมาณนั้นต้องสูงพอที่จะทำให้ พม่ากลายเป็นแหล่งผลิตฝ้ายที่ ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ ฝ้ายกลายเป็นพืชเศรษฐกิจตัวแรกๆ ที่ส่งออกผ่านกองคาราวานพ่อค้ ายูนนาน (ในปลายอยุธยา ก็มีการผลิตฝ้ายเพิ่มขึ้นในลุ่ มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างเช่นกัน... อย่าลืมว่านางพิมได้เสียกั บพลายแก้วที่ไร่ฝ้าย... แต่โดยปริมาณเปรียบเทียบแล้ว น้อยกว่าที่ผลิตในพม่าสัก 10 เท่า) การถอยราชธานีกลับขึ้นไปส่วนบน ทำให้ราชสำนักอังวะสามารถควบคุ มเส้นทางการค้าจากยูนนานให้ ปลอดภัยได้ตลอดมา เพราะได้สถาปนาอำนาจทั้ งในทางการเมืองและวัฒนธรรมเหนื อที่ราบสูงชานอย่างมั่นคงขึ้น (รวมทั้งเลยเข้ามาในล้านนา ซึ่งพม่าเรียกว่าชานตะวันตก อันเป็นส่วนหนึ่งของเส้ นทางกองคาราวานพ่อค้ายูนนานด้ วย)
ในขณะเดียวกัน กษัตริย์ในราชวงศ์ตองอูที่ฟื้ นฟูขึ้นนี้ ยังได้สร้างป้อมค่ายตามจุดยุ ทธศาสตร์ที่สำคัญทั่วราชอาณาจั กร รวมถึงตามเส้นทางการค้าภายในด้ วย ความสงบปลอดภัยที่รัฐบาลกลางจั ดไว้ให้นี้ ยิ่งทำให้การค้าภายในรุ่งเรื องมากขึ้น ในช่วงราชวงศ์ตองอูที่อังวะกั บต้นราชวงศ์อลองพญานั้น ภาษีที่เป็นเงินสดซึ่งรั ฐบาลสามารถเก็บได้มีมูลค่าถึง 70% ของภาษีทั้งหมด
สะท้อนความเติบโตของเศรษฐกิ จตลาดในพม่าได้ดี
แต่ที่ผมคิดว่าสำคัญยิ่งกว่ าการค้าก็คืออำนาจเหนือกำลั งคนราชวงศ์ตองอูที่ฟื้นฟูขึ้นกั บราชวงศ์อลองพญา(กอนบอง)ต่างต้ องให้ความสำคัญแก่การควบคุมกำลั งคนซึ่งกระจุกตัวอยู่ในที่ ราบตอนกลางของประเทศเป็นอย่างยิ ่งเพราะกำลังคนเหล่านี้คือผู้ ผลิตข้าว, ผลิตส่วยและภาษี, เป็นผู้ให้บริการที่จำเป็ นในการปกครอง, เป็นกำลังรบกับข้าศึกต่างเมือง และกับเจ้านายและขุนนางซึ่ งอาจก่อกบฏขึ้น ใน ค.ศ.1635 (ตรงกับรัชสมัยพระเจ้ าปราสาททอง) กษัตริย์ในราชวงศ์ตองอูได้ ทำสำมะโนประชากร-ที่ดิน-บัญชีส่ วยและภาษีทั้งของหลวงและของขุ นนางเป็นครั้งแรก
ในด้านการปกครองอังวะพยายามจำกั ดอำนาจของเจ้าเมืองท้องถิ่ นลงธรรมเนียมส่งเจ้ านายไปครองเมืองลูกหลวงเป็นอั นยกเลิกเด็ดขาดเจ้านายต้องอยู่ ในเมืองหลวงได้กินแต่ส่ วยสาอากรจากหัวเมืองที่กษัตริย์ มอบให้ โดยมีขุนนางเป็นเจ้าเมืองซึ่งอั งวะพยายามไม่ให้สืบตำแหน่ งทางสายโลหิต ฉะนั้น กษัตริย์ในราชวงศ์ตองอูที่ฟื้ นฟูขึ้นนี้ จึงมีพระราชอำนาจควบคุมส่ วนกลางประเทศ ซึ่งเป็นแกนกลางของพม่าไว้ได้ อย่างรัดกุม แม้ว่ายังมีปัญหาการแย่งชิ งราชสมบัติสืบต่อมา แต่เป็นการแย่งชิงกันในหมู่ ราชวงศ์ เพราะพม่ายังถือความเป็น "เจ้า" เป็นเงื่อนไขสำคัญของการสื บราชสมบัติ แตกต่างจากอยุธยาในสมัยเดียวกัน ที่ปล่อยให้ขุนนางเข้ามาร่วมเล่ นเกมชิงราชสมบัติด้วย อย่างไรก็ตาม การแย่งชิงราชสมบัติของพม่าไม่ เป็นเหตุให้กลายเป็ นสงครามกลางเมืองระหว่างหัวเมื องใหญ่ๆ อย่างที่เกิดในสมัยราชวงศ์ตองอู ตอนต้นอีกต่อไป
พัฒนาการทางวัฒนธรรมในช่วงนี้มี ความสำคัญต่อความแข็งแกร่ งของราชวงศ์ที่ได้ อำนาจปกครองพม่าอย่างยิ่ งโดยอาศัยการปฏิรูปพระพุ ทธศาสนาให้ตรงตามคัมภีร์ราชสำนั กได้ขยายพระพุทธศาสนา"สำนวน"นี้ ออกไปอย่างกว้างขวาง พระพุทธศาสนาแบบคัมภีร์เปิ ดโอกาสผู้ที่สามารถบำรุงเลี้ยง "นักปราชญ์" ที่เชี่ยวชาญบาลีกลายเป็นองค์อุ ปถัมภ์พระศาสนาที่ใหญ่สุด และผู้ที่มีความสามารถทำเช่นนั้ นได้ก็คือราชสำนักอังวะ ยากที่หัวเมืองอื่นหรือเจ้ าประเทศราชจะสามารถแข่งขันได้ คัมภีร์บาลีจากลังกาถูกถ่ายเป็ นอักษรพม่าจำนวนมาก และที่สำคัญกว่านั้นก็คือมี การแปลคัมภีร์บาลีเป็นภาษาพม่ าในช่วงนี้อีกมากเหมือนกัน
ภาษาพม่าของส่วนกลางเริ่ มกลายเป็นภาษามาตรฐาน ทั้งในแง่อักขรวิธี และศัพท์มีการทำอภิธานศัพท์ ในภาษาพม่าขึ้นเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ ราชสำนักอังวะยังพยายามสร้ างมาตรฐานกลางของหน่วยน้ำหนัก, การวัด และประดิทิน
การขยายตัวของภาษาพม่าเกิดขึ้ นพร้อมกับความสามารถอ่านออกเขี ยนได้ซึ่งแพร่กระจายไปยั งประชาชนทั่วไปมากขึ้นก่อให้เกิ ดความเฟื่องฟูของวรรณคดีพม่าไม่ เฉพาะแต่ที่แต่งกันขึ้นในหมู่ กวีราชสำนักเท่านั้นแต่ยังรวมถึ งวรรณกรรมอีกมากที่แต่งกันขึ้ นในหัวเมืองใหญ่อื่นๆ ทั้งที่เป็นตำนานเมือง, ธรรมสากัจฉา และบทละคร นอกจากนี้ ยังเกิดประเพณีทางวรรณกรรมใหม่ๆ ขึ้นเป็นอันมาก เช่น วรรณกรรมเสียดสีสำนวนของคนที่ ไม่สังกัดชนชั้นมูลนาย แม้แต่ "มหาราชพงศาวดาร" ของอูกาลา ซึ่งไม่ใช่ข้าราชสำนัก ก็เปลี่ยนประเพณีการเขี ยนวรรณกรรมประวัติศาสตร์เสี ยใหม่ จนในบานแผนกต้องกล่าวขอโทษที่ ไม่เดินตามประเพณีเดิม
ภาษาพม่าและวัฒนธรรมพม่ากลายเป็ นมาตรฐานของผู้มีการศึกษาไม่ เฉพาะแต่ในกลุ่มชาติพันธุ์พม่ าเท่านั้นแต่รวมไปถึงเมื องประเทศราชทั้ งหลายโดยเฉพาะในคุ้มหลวงของเจ้ าไทยใหญ่และหัวเมืองมอญ (และคงรวมถึงล้านนา โดยเฉพาะเชียงใหม่ด้วย) ฉะนั้น ความเหนือกว่าทางวั ฒนธรรมของราชสำนักพม่า จึงเป็นพลังผนวกเอาความภักดี ของชนชั้นนำในบรรดาชนกลุ่มน้ อยต่างๆ ในพม่าด้วย ความภักดีนี้อาจคลอนคลายได้ ในบางสถานการณ์ แต่ความเป็นพม่าในส่วนลึกของจิ ตใจก็ยังอยู่
แม้แต่ในหมู่สามัญชนโดยทั่วไป ภาษาพม่าก็ขยายตัวขึ้นในหมู่ผู้ ที่พูดภาษามอญ, พยู, ไท, ชิน และคดู โดยเฉพาะที่อาศัยอยู่ในที่ ราบตอนกลาง
พัฒนาการทั้งทางการเมือง, เศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่ผมพู ดมาทั้งหมดนี้เกิดขึ้นกั บราชอาณาจักรอยุธยาในสมัยนี้เช่ นเดียวกันแต่ผม "รู้สึก" ว่าความเข้มข้นไม่อาจเทียบได้กั บที่เกิดในราชอาณาจักรอังวะ กว่าจะเข้มข้นเทียบเทียมกันได้ ก็ต่อเมื่อตกมาถึงสมัยต้นรั ตนโกสินทร์แล้ว โชคดีที่ผมไม่ต้องอาศัยแต่ความ "รู้สึก" อย่างเดียว เพราะ Victor Lieberman ซึ่งค้นคว้าลงลึกเกี่ยวกั บราชวงศ์ตองอูที่ฟื้นฟูขึ้นกั บอยุธยา ก็มีความเห็นอย่างเดียวกันใน Strange Parallels : Southeast Asia in Global Context เล่มหนึ่ง (และส่วนใหญ่ของข้อมูลเกี่ยวกั บพม่าในบทความนี้ ก็เอามาจากหนังสือเล่มนี้)
ทั้งหมดนี้ยังไม่ทำให้พม่ ากลายเป็นรัฐชาติขึ้นมาหรอกครั บพม่าก็ยังเป็นรัฐราชสมบัติอย่ างเดียวกับอยุธยาและตั้งอยู่ บนฐานของเครือข่ายกลุ่มอุปถัมภ์ ที่หลากหลายซับซ้อนเหมือนกันเพี ยงแต่ว่าในพม่าศูนย์กลางของเครื อข่ายอุปถัมภ์มี สมรรถนะในการควบคุมเครือข่ายได้ กว้างและลึกกว่าอยุธยา(แม้แต่ การจัดไพร่หลวงหรือ ahmudan กับไพร่สมหรือ athi ของพม่ากับไทยคล้ายกัน แต่ไพร่หลวงของพม่าเป็นชนชั้ นอภิสิทธิ์กว่าของอยุธยา ซ้ำยังมีภารกิจไปทางทหารอย่ างเห็นได้ชัด อาจคล้ายอยุธยาตอนต้นที่แบ่ งไพร่ออกเป็นสองฝ่ายคื อทหารและพลเรือนก็ได้) และระบบทั้งหมดเหล่านี้ถูกพั ฒนาให้เข้มข้นและเข้มแข็งยิ่ งไปกว่าเดิมเสียอีกในสมั ยราชวงศ์อลองพญา
อีกสิ่งหนึ่งซึ่งดูจะก้ าวไปไกลกว่าอยุธยาคือสำนึ กความเป็นพม่าของข้าไพร่เด่นชั ดกว่าข้าไพร่ของอยุธยาเป็นอั นมากเล่ากันว่าเมื่อกองทั พของอลองพญายกไปปราบหัวเมื องมอญที่ร่วมกันก่ อกบฏจนทำลายราชวงศ์ตองอู ลงทหารพม่าต่างพากันถอดผ้าโพกหั วปล่อยผมสยายลง เพื่อบอกแก่ชาวพม่าซึ่งตกเป็ นเชลยของมอญว่าคนชาติพันธุ์เดี ยวกันได้ยกกำลังมาช่วยปลดปล่ อยแล้ว คำปลุกปลอบใจของกองทัพพม่าก็คือ พม่าหนึ่งคนสามารถปราบ "ตะเลง" ลงได้ 10 คน
ถ้าเปรียบเทียบพฤติ กรรมของราษฎรไทย ทั้งในครั้งศึกอลองพญาและศึกครั ้งเสียกรุง เราจะไม่เห็นสำนึกอัตลักษณ์ ทางชาติพันธุ์เช่นนี้เลย
เพราะอวสานหงสาเปิดโอกาสให้พม่ าถอยกลับขึ้นเหนือและปฏิรู ปการเมือง,เศรษฐกิจและสั งคมของตนเองไปได้ไกลกว่าอยุ ธยาจึงทำให้กองทัพพม่าซึ่งยกเข้ ามาปิดล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่กว่ าปี สามารถปราบกองทัพอยุธยาที่ ยกออกต่อรบได้ในเกือบทุกครั้ง มีวินัยและการวางแผนอย่างดี ในการตั้งทัพรอให้น้ำลด ต้องเข้าใจด้วยว่าการตั้งทั พรอน้ำลดนั้นเป็นยุทธศาสตร์ใหม่ ซึ่งพม่าเองไม่เคยทำได้มาก่ อนเหมือนกัน ทั้งยังไม่ใช่การตั้งทัพเพี ยงเพื่อให้อยู่รอดจนถึงหน้าแล้ง ทัพพม่าซึ่งต้องตั้งอยู่บนที่ ดอนยังมีภารกิจสำคัญต้องทำอีกด้ วย นั่นคือสกัดมิให้เสบี ยงอาหารไหลเข้าอยุธยา ต่อตีกับกองทัพเรืออยุธยามิให้ มาทำลายค่ายได้ และป้องกันมิให้กองกำลังจากที่ อื่นยกเข้ามาล้อมกระหนาบ
สิ่งสำคัญที่สุดในทัศนะของผมก็ คือจะทำอย่างไรให้ทหารชาวนาซึ่ งถูกเกณฑ์มาไกลไม่หนีทัพกลับบ้ านทหารเลวที่สามารถตั้งทัพค้ างฝนได้ทั้งฤดูเช่นนี้ต้องมั่ นใจว่าลูกเมียทางบ้านจะมีข้าวกิ นในปีถัดมาผมไม่มีความรู้ประวั ติศาสตร์พม่าพอจะบอกได้ว่า ราชสำนักของพระเจ้ามังระแห่ งราชวงศ์อลองพญาทำอย่างไร จึงจะสร้างความมั่นใจเช่นนี้แก่ ทหารเลวในกองทัพได้ แต่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ความสามารถที่จะทำสงครามนอกฤดู แล้งได้เช่นนี้ ต้องมีการจัดองค์กรทางสังคมที่ ก้าวหน้า พอที่จะสามารถเฉลี่ยอาหารไปได้ อย่างทั่วถึง แม้ผลผลิตอาจลดลงเพราะสูญเสี ยกำลังแรงงานไปกับกองทัพรุ กรานของตน
ดังนั้น แม้กองทัพอยุธยามิได้เสียเปรี ยบกองทัพอังวะในด้านอาวุธยุ ทโธปกรณ์ และเครื่องไม้เครื่องมือในการป้ องกันพระนคร กองทัพอยุธยาก็ไม่สามารถต่อสู้ กับกองทัพพม่าได้ เพราะกองทัพอยุธยาต้องเผชิญกั บกองทัพชนิดใหม่ ที่วางอยู่บนระบบการเมืองและสั งคมที่แข็งแกร่งกว่าของตนเอง
สิ่งที่ผู้นำทัพไทยหลังกรุ งแตกได้เรียนรู้สืบมาจนรัชกาลที ่1เป็นอย่างน้อยก็คือความเกรี ยงไกรของกองทัพนั้นไม่ได้ มาจากความสามารถในการรบเพียงอย่ างเดียว ที่เป็นรากฐานอันขาดไม่ได้เสี ยยิ่งกว่า ก็คือระบบการเมืองและสังคมที่ แข็งแกร่ง อันจะเอื้อต่ อความสามารถของกองทัพที่จะพลิ กแพลงยุทธศาสตร์ยุทธวิธีไปได้ หลายกระบวนท่า เพื่อเอาชนะข้าศึกในทุกเงื่ อนไขและสถานการณ์
ดูเหมือนบทเรียนดังกล่าวนี้ถู กผู้นำทัพไทยลืมไปเสียสนิ ทในระยะหลัง
หากหงสาไม่ถึงกาลอวสานราชวงศ์ ตองอูก็ไม่สามารถย้อนกลับไปตั้ งมั่นในส่วนในของประเทศแล้วสั่ งสมพัฒนาการด้านต่ างๆของราชอาณาจักรจนกลายเป็นรั ฐราชสมบัติที่ก้าวหน้ากว่าอยุ ธยาอย่างมากได้
ความแข็งแกร่งของราชอาณาจักรอั งวะนี่เอง ที่ทำให้อยุธยาไม่สามารถรั กษาเมืองไว้ได้ เมื่อต้องเผชิญศึกกับพม่า อวสานหงสาจึงนำมาซึ่งอวสานอยุ ธยา ด้วยประการฉะนี้
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น