0
จดหมายชาตินิยมเหมืองทอง
Posted: 17 May 2016 10:22 AM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
นับว่าเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายอย่างยิ่งที่รัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2559  สั่งให้หยุดดำเนินกิจการเหมืองแร่ทองคำของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน)  บริเวณรอยต่อ 3 จังหวัด พิจิตร เพชรบูรณ์และพิษณุโลก  ในสิ้นปีนี้  และให้ยุติการอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ทองคำและประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองคำ รวมถึงคำขอต่ออายุประทานบัตรในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศด้วย  สร้างความฮือฮา ตื่นตกใจให้กับทั้งฝ่ายผู้ประกอบการเหมืองและฝ่ายคัดค้านการทำเหมือง
เนื้อหาของมติคณะรัฐมนตรีที่ปรากฎอยู่ในเอกสารข่าวของกระทรวงอุตสาหกรรม  และหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี  ด่วนที่สุด  ที่ นร 0505/16885  ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2559  สอดรับกัน  โดยแบ่งเป็นข้อ ๆ ดังนี้
1. ยุติการอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ทองคำและประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองคำ รวมถึงคำขอต่ออายุประทานบัตรด้วย
2. ในกรณีของบริษัทอัคราฯ  เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของพนักงาน และเพื่อเตรียมการเลิกประกอบกิจการ จึงเห็นควรให้ต่ออายุใบอนุญาตประกอบโลหกรรมไปจนถึงสิ้นปี 2559  เพื่อให้สามารถนำแร่ที่เหลืออยู่ไปใช้ประโยชน์ได้  พร้อมทั้งให้บริษัทอัคราฯเร่งดำเนินการปิดเหมืองและฟื้นฟูพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมืองให้เป็นไปตามเงื่อนไขการอนุญาต
3. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลประชาชนและบรรเทาปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นภายหลังสิ้นสุดการประกอบกิจการเหมืองแร่และโลหกรรมของบริษัทอัคราฯ  โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำกับดูแลการปิดเหมืองและฟื้นฟูพื้นที่  กระทรวงสาธารณสุขดูแลสุขภาพของประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง  และกระทรวงแรงงานดูแลพนักงานที่ได้รับผลกระทบจากการปิดกิจการ
ส่วนเอกสารข่าวของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ได้ขยายความเข้าใจต่อผลที่จะเกิดขึ้นจากมติ ครม. ดังกล่าวในส่วนของพื้นที่อื่น ๆ ดังนี้
1. ยุติการอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ทองคำ  ซึ่งปัจจุบันมีคำขออาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ทองคำ  จาก 12 บริษัท  ครอบคลุมพื้นที่ 10 จังหวัด  ได้แก่  เพชรบูรณ์  พิจิตร  จันทบุรี  ระยอง  พิษณุโลก  ลพบุรี  สระบุรี  สระแก้ว  นครสวรรค์และสตูล  จำนวน 177 แปลง  พื้นที่ประมาณ 1,539,644 ไร่
2. ยุติการอนุญาตประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองคำ  ซึ่งปัจจุบันมีคำขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองคำเพียงบริษัทเดียว คือ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด  ที่จังหวัดเลย  จำนวน 107 แปลง  พื้นที่ประมาณ 28,780 ไร่
3. ยุติการอนุญาตคำขอต่ออายุประทานบัตร  ซึ่งปัจจุบันมีคำขอต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองคำเพียงบริษัทเดียว คือ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน)  ที่จังหวัดเพชรบูรณ์  จำนน 1 แปลง  พื้นที่ 93 ไร่
ทั้งหมดคือเอกสารที่เกี่ยวกับมติ ครม. เท่าที่มีอยู่ในตอนนี้  โดยเฉพาะหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี  ด่วนที่สุด  ที่ นร 0505/16885  ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2559  ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนังสือแจ้งมติ ครม. อย่างเป็นทางการแล้วก็ตาม  แต่ยังขาดเอกสารที่เกี่ยวข้องสองชิ้นที่ทำให้หนังสือแจ้งมติ ครม. อย่างเป็นทางการยังไม่สมบูรณ์   คือ  เอกสารรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงและการแก้ปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อมจากการทำเหมืองแร่ของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ของกระทรวงอุตสาหกรรม  และเอกสารมติการประชุมเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2559 ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  และตัวแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  ซึ่งจะต้องเอามาดูประกอบว่ารายละเอียดที่ ครม. มีมติรับทราบตามเอกสารสองชิ้นนั้นมีเนื้อหาลงรายละเอียดอย่างไรบ้าง
แต่ด้วยกระแสข่าวและความคิดเห็นต่าง ๆ ในโลกของการสื่อสารออนไลน์ที่พากันชื่นชมการตัดสินใจของรัฐบาลในครั้งนี้มีแนวทางที่ผิดเพี้ยนและไม่ถูกต้องพอสมควร  อาทิเช่น  การขุดคุ้ยว่าเหมืองทองแห่งนี้ ‘เปิดโดยรัฐบาลทักษิณ ปิดโดยรัฐบาลประยุทธ์’  เพื่อที่จะเปรียบเทียบ เยินยอ ตอกย้ำและผลิตความคิดให้แก่สังคมว่ารัฐบาลเผด็จการทหารที่ได้อำนาจมาจากการรัฐประหารดีกว่าและมีคุณธรรมกว่ารัฐบาลประชาธิปไตยที่ได้อำนาจมาจากการเลือกตั้ง  ด้วยการเอาภาพแผ่นป้ายหินสีดำบนตัวหนังสือสีทองที่จารึกชื่อของทักษิณ ชินวัตรในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดเหมืองทองคำในวันที่ 12 ธันวาคม 2544  ที่ติดอยู่บนก้อนหินในเขตเหมืองแร่ทองคำของบริษัทอัคราฯมาแสดงอยู่ในช่องทางสื่อสารออนไลน์ต่าง ๆ นั้น  เป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ที่ไม่ครบถ้วนและถูกต้อง
ในผนังห้องประชุมเล็ก ๆ ที่ใช้สำหรับต้อนรับแขกเหรื่อที่มาดูงานกิจการเหมืองทองคำของอัคราฯ ที่สำนักงานในเขตเหมืองแร่นั้น  มีภาพ ๆ หนึ่งเป็นก้อนทองคำขนาดใหญ่ที่ระบุว่าได้มอบให้แก่นายทหารคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้นำการรัฐประหารเมื่อปี พ.ศ. 2534  น่าเสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปออกมา  จึงจำไม่ได้ว่านายทหารคนนั้นชื่อนามสกุลว่าอะไร
เหตุการณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับช่วงเวลาของการที่รัฐบาลสมัยนั้นมีนโยบายส่งเสริมการให้สัมปทานการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำแก่เอกชนทั้งในและต่างประเทศ  จึงส่งผลให้มีการให้ประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองคำสองแห่งในประเทศไทยในเวลาต่อมา คือ เหมืองแร่ทองคำชาตรีของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ที่ ต.เขาเจ็ดลูก อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร  และเหมืองแร่ทองคำภูทับฟ้า-ภูซำป่าบอนของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด ที่ ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย
สิ่งที่ควรบันทึกให้ถูกต้องเกี่ยวกับเหมืองทองคำทั้งสองแห่งก็คือมีการทำงานร่วมกันมาหลายรัฐบาล  เริ่มตั้งแต่รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ในปี 2527  โดยกรมทรัพยากรธรณี[[1]]ได้ดำเนินการสำรวจแร่ทองคำและพบพื้นที่ศักยภาพของแร่ทองคำ 2 บริเวณใหญ่ คือ บริเวณขอบที่ราบสูงโคราชในท้องที่จังหวัดเลย หนองคาย เพชรบูรณ์ พิจิตร นครสวรรค์ ลพบุรี ปราจีนบุรี สระแก้ว ชลบุรี และระยอง และบริเวณท้องที่จังหวัดเชียงราย ลำปาง แพร่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย และตาก ส่วนบริเวณอื่น ๆ ที่พบทองคำอยู่ด้วย อาทิ บ้านป่าร่อน อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ บริเวณแหล่งโต๊ะโมะ อำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส บริเวณบ้านบ่อทอง อำเภอบ่อทอง จังหวัดชลบุรี และมักพบปะปนอยู่ในลานแร่ดีบุกแถบจังหวัดกาญจนบุรี ภูเก็ต และพังงา เป็นต้น
ผลจากการค้นพบศักยภาพของแร่ทองคำดังกล่าว  คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลพลเอกเปรมได้มีมติเห็นชอบ ‘นโยบายว่าด้วยการสำรวจและพัฒนาแร่ทองคำ’ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมโดยกรมทรัพยากรธรณีเสนอมาเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2530  เพื่อส่งเสริมให้เอกชนเข้ามาลงทุนในการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำได้ใน 2 กรณี  คือ  (1) ภาครัฐเปิดประมูลพื้นที่เป็นกรณีพิเศษนอกเหนือไปจากบทบัญญัติของกฎหมายแร่  โดยใช้การออกมติคณะรัฐมนตรีจากอำนาจฝ่ายบริหารให้กำหนดพื้นที่เพื่อการพัฒนาเหมืองแร่ทองคำเป็นโครงการใหญ่  พร้อมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอสิทธิสัมปทานโดยทำเป็นสัญญาผูกมัดให้เอกชนได้รับทั้งสิทธิสัมปทานการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำในคราวเดียวกัน  (2) เอกชนขอสิทธิสำรวจโดยตรงด้วยการขออาชญาบัตรพิเศษก่อน  ต่อเมื่อพบแร่ทองคำในเชิงพาณิชย์จึงค่อยขอสิทธิทำเหมืองแร่โดยขอประทานบัตรในภายหลัง  เป็นลำดับขั้นตอนตามที่ระบุไว้ในกฎหมายแร่
ผลจากนโยบายฯดังกล่าวในยุครัฐบาลพลเอกเปรมทำให้ประสบความสำเร็จพบแหล่งแร่ทองคำในเชิงพาณิชย์ 2 แห่ง ได้แก่

(1) แหล่งแร่ทองคำที่ภูทับฟ้า-ภูซำป่าบอน  ต.เขาหลวง  อ.วังสะพุง  จ.เลย  ของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด  ในพื้นที่โครงการขนาดใหญ่ที่เปิดประมูล
(2) แหล่งแร่ทองคำในพื้นที่รอยต่อของจังหวัดพิจิตรและเพชรบูรณ์ ของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด ในพื้นที่ที่ส่งเสริมให้เอกชนขออาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่         
จึงส่งผลให้บริษัทอัคราฯเปิดดำเนินการทำเหมืองแร่ทองคำและเงินในแหล่งชาตรีเมื่อปี 2543 ในรัฐบาลชวน หลีกภัย  และชาตรีเหนือเมื่อปี 2551 ในรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช  รวมพื้นที่ทั้ง 2 แหล่งประมาณ 5,463 ไร่ 
และส่งผลให้ บริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ จำกัด และบริษัท ทุ่งคำ จำกัด  ทำ ‘สัญญาว่าด้วยการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำ แปลงที่สี่ พื้นที่น้ำคิว-ภูขุมทอง’ กับรัฐบาลอานันท์ ปันยารชุนโดยกรมทรัพยากรธรณีเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2534  ซึ่งเป็นสัญญาให้สิทธิผูกขาดในการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำในพื้นที่ขนาดใหญ่มากถึง 545 ตารางกิโลเมตร  หรือประมาณ 340,615 ไร่  ส่งผลให้บริษัททุ่งคำสามารถยื่นขอประทานบัตรจับจองพื้นที่ขนาดใหญ่ได้จำนวน 112 แปลง  ประมาณ 33,600 ไร่  เมื่อปี 2538 ในรัฐบาลชวน หลีกภัย  โดยได้รับประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองคำแล้ว 6 แปลง  บนภูทับฟ้า-ภูซำป่าบอน  คือ  ประทานบัตรที่ 26968/15574, 26969/15575, 26970/15576, 26971/15558, 26972/15559 และ 26973/15560  พื้นที่ประมาณ 1,291 ไร่  ระหว่างปี 2545-2546 ในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร  ซึ่งเป็นเหมืองแร่ที่กำลังดำเนินการและก่อปัญหาผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมอยู่ในขณะนี้ 
แนวทางที่ผิดเพี้ยนและไม่ถูกต้องอีกเรื่องหนึ่งก็คือจดหมายขอบคุณพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  ของศาสตราจารย์ระพี สาคริก  เนื้อหาในจดหมายพรรณาถึงบทบาทของตัวเองที่เป็นคนทำจดหมายถึงประยุทธ์ตั้งแต่วันที่ 29 มิถุนายน 2557  เพื่อขอความช่วยเหลือให้ช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนรอบเหมืองทองอัคราฯ  ชื่นชมการตัดสินใจของพลเอกประยุทธ์และคณะรัฐมนตรีที่ช่วยเยียวยาประชาชนผู้ได้รับผลกระทบและรักษาทองคำอันเป็นสมบัติชิ้นสำคัญของชาติไทยไว้ให้ลูกหลานไทยในอนาคต  สมกับเป็นผู้นำชายชาติทหารที่ทำงานรับใช้แผ่นดิน  จนนำมาสู่การมีมติ ครม. ปิดเหมืองทองเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2559 
จดหมายดังกล่าวถึงแม้ดูเหมือนไม่มีอะไร  หรือเป็นประเด็นเล็กนิดเดียวที่อาจไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง  แต่ที่ต้องหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงก็เพราะแนวทางที่ผิดเพี้ยนและไม่ถูกต้องเช่นนี้เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งต่อการเขียนประวัติศาสตร์ประชาชนเพื่อบันทึกความทรงจำของผู้คนเอาไว้บอกเล่าให้คนรุ่นต่อจากนี้ได้รับรู้
จดหมายดังกล่าวเป็นการเลือกที่จะจดจำประวัติศาสตร์แบบที่ทำให้ลืมใบหน้าของประชาชนผู้ทุกข์ยากที่เป็นได้แค่ ‘วัตถุศึกษา’ ให้กับผู้มีการศึกษาทั้งหลายที่ได้ทำการเก็บข้อมูลและตัวอย่างสารพิษในร่างกาย  เป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ในบางแง่มุมที่ทำให้ประชาชนที่ต่อสู้คัดค้านกับเหมืองทองแห่งนี้มาไม่ต่ำกว่าสิบปีถูกลืมเลือนไปโดยง่ายเมื่อกาลเวลาผ่านไป  เป็นประวัติศาสตร์ในแนวผู้มีบุญญาบารมีบันดาลให้  แต่ความเหน็ดเหนื่อยและเจ็บปวดร้าวรานในชีวิตของประชาชนคนเล็กคนน้อยรอบเหมืองไม่มีพื้นที่ให้ถูกบันทึกไว้
จากบทเรียนและประสบการณ์ที่สังเกตเห็นในเส้นทางประวัติศาสตร์ของขบวนประชาชนที่ต่อสู้คัดค้านนโยบาย  โครงการพัฒนาของรัฐและเอกชน  และกฎหมายที่ไม่ชอบธรรมต่าง ๆ มาอย่างยาวนาน  มักจะพบเห็นการบันทึกประวัติศาสตร์ในแบบที่คล้ายคลึงกับจดหมายของศาสตราจารย์ระพีอยู่เสมอ  ดั่งกรณีตัวอย่างหนึ่งในพื้นที่ภาคอีสาน  ย้อนกลับไปยังปี 2534 ที่ขบวนประชาชนคนทุกข์คนยากในแผ่นดินอีสานต้องรวมตัวกันต่อสู้กับอำนาจรัฐบาลทหารในยุค รสช. หรือคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ  ต้องเดินเท้าทางไกลจนมาสิ้นสุดที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา  เพื่อกดดันให้รัฐบาลลงมาเจรจาแก้ไขปัญหาการขับไล่ชาวบ้านออกไปจากผืนดินทำกินตามโครงการ คจก. หรือ ‘โครงการจัดสรรที่ดินทำกินแก่ราษฎรผู้ยากไร้ในพื้นที่ป่าสงวนเสื่อมโทรม’  กลุ่มคนเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งที่อยู่ส่วนบนของขบวนประชาชนในกรุงเทพฯเลือกที่จะจดจำและบอกเล่าการต่อสู้ของชาวบ้านกับโครงการ คจก. ว่าเป็นเพราะบทบาทของพวกเขาในการติดต่อประสานงานและเจรจาล็อบบี้กับคนในรัฐบาล  จึงทำให้รัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน ตัดสินใจยกเลิกโครงการ คจก. 
พวกเขาเลือกที่จะจดจำและบอกเล่าเรื่องราวด้านของพวกเขาให้สาธารณชนฟัง 
แต่พวกเขาเหล่านั้นไม่พูดถึงหยาดเหงื่อแม้สักหยดเดียวท่ามกลางสองเท้าที่ก้าวย่างบนพื้นถนนที่เปลวแดดร้อนระยับที่ขบวนชาวบ้านนับพันชีวิตต้องเดินฝ่าไอระอุด้วยจิตใจที่ร้อนรุ่มจากอารมณ์ความรู้สึกของการจากบ้านมาไกลเพื่อเรียกร้องให้มีที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินผืนเล็ก ๆ
การกระทำแบบนี้มันส่งผลให้ไม่มีความภูมิใจอย่างเต็มภาคภูมิในขบวนประชาชนแม้สักครั้งในประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหวของภาคประชาชนด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  เพราะพวกที่อยู่ส่วนบนของขบวนประชาชนมักจะตัดตอนด้วยการจารึกบทบาทนำของพวกเขาอยู่เสมอ 
โดยปล่อยให้ชาวบ้านยอมรับและศรัทธาในแนวทางความเชื่อที่ว่า  เหตุที่เหมืองทองล้มไปได้ไม่ได้เกิดมาจากความเหนื่อยยากที่เกิดจากชีวิตและร่างกายของตนที่ต้องดิ้นรนหาเงินกู้หนี้ยืมสินเพื่อหาค่ารถเดินทางเข้ากรุงเทพฯเพื่อยื่นหนังสือร้องเรียนหลายร้อยฉบับ  แต่เกิดจากเทวดาฟ้าดินหรือบทบาทนำของพวกที่อยู่ส่วนบนของขบวนประชาชนดลบันดาลให้
อีกด้านหนึ่งมันเป็นจดหมายที่ลดทอนความรู้และข้อมูลทางวิชาการที่ใช้เวลาเกือบสองปีจนตรวจพบสารพิษและสารโลหะหนักต่าง ๆ มากมายที่ปนเปื้อนค่อนข้างสูงทั้งในร่างกายมนุษย์และสภาพแวดล้อม  และมีความเชื่อมสัมพันธ์กันในห่วงโซ่อาหาร  จนนำมาสู่การตัดสินใจทางการเมืองโดยมติ ครม.ดังกล่าว โดยมุ่งเน้นเฉพาะอำนาจการตัดสินใจทางการเมืองของ คสช. เป็นหลักที่สามารถทำให้ปิดเหมืองทองได้  แต่ละเลยที่จะพูดถึงข้อเท็จจริงที่ได้จากการตรวจพิสูจน์ของบุคคลากรหลายภาคส่วนที่ร่วมมือกันทำความจริงให้ปรากฎ  รวมทั้งตัวชาวบ้านเองที่เป็น ‘วัตถุศึกษา’ ให้กับใครต่อใครทั้งที่เป็นหน่วยงานวิชาการของภาครัฐและสถาบันวิชาการหลากหลายองค์กรที่ร่วมมือกัน
เป็นเรื่องน่าสนใจตรงที่การจารึกประวัติศาสตร์นั้นมีกระบวนการขั้นตอน  ในขั้นตอนเริ่มต้น  พวกที่อยู่ส่วนบนของขบวนประชาชนยอมให้กับใคร ๆ ก็ตามในหมู่ของพวกเขาสร้างฉากความโศรกสลดด้วยการเอาชีวิตผู้คนรอบเหมืองที่เจ็บป่วย กำลังจะตายและคนที่ตาย  ชีวิตความเป็นอยู่ที่ทุกข์แสนเข็ญถึงขั้นที่ต้องใช้คูปองจากหน่วยงานรัฐในจังหวัดมาใช้ซื้อผักและอาหารปลอดสารพิษโลหะหนัก  ผืนดินปลูกอะไรไปก็ไม่งดงาม หรือถึงงดงามก็เต็มไปด้วยสารพิษและโลหะหนักที่เกิดขึ้นจากการทำเหมือง  รวมทั้งสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรมชวนสลดหดหู่มาฉายให้สาธารณชนได้เห็น  เพื่อเรียกน้ำตาและความเห็นอกเห็นใจต่อสังคม
แต่พอจะจารึกประวัติศาสตร์กลับหลงลืมพวกเขาเหล่านี้ไป  แล้วเลือกที่จะจารึกมันด้วยการชูหางตนเองว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการประสานงานกับผู้มีอำนาจของรัฐ  และเชิดชูผู้นำประเทศที่ได้อำนาจมาจากการยึดอำนาจไปจากประชาชนด้วยการรัฐประหาร
มันให้ภาพที่เห็นได้ชัดว่าพวกที่อยู่ส่วนบนของขบวนประชาชนจะฉวยโอกาสอยู่เสมอ  และมองตัวเองว่าเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างเต็มเปี่ยม  ว่าถ้าไม่ใช่ผลงานตัวเองก็คงไม่มีมติ ครม.แบบนี้อย่างแน่นอน  แม้จะย่างเข้าสู่วัยชราบั้นปลายชีวิตก็ยังไม่หลงลืมที่จะบันทึกประวัติศาสตร์ในส่วนนี้ไว้
ไม่ว่าจะทำไปด้วยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม  แต่มันสะท้อนให้เห็นว่ามันเป็นวิธีคิดที่อยู่ในกมลสันดาน  ที่อาจจะทำไปโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่กระทำมันส่งผลเสียหายต่อประวัติศาสตร์อย่างไร  เพราะเมื่อเรามองย้อนกลับมาข้างหลังจากอนาคตเราจะไม่เห็นชีวิตคนเจ็บป่วยรอบเหมืองเลย
มันเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ที่ตอกย้ำการมีอยู่ของพวกที่อยู่ส่วนบนของขบวนประชาชนที่เห็นประชาชนเป็นเพียงแค่ ‘วัตถุศึกษา’ เท่านั้น

                                     

เอกสารอ้างอิง

1. เอกสารข่าวกระทรวงอุตสาหกรรม ‘กระทรวงอุตสาหกรรมยุติเหมืองแร่ทองคำทั่วประเทศ  ให้เวลาเหมืองอัคราฯ ถึงสิ้นปี !’  ดาวน์โหลดข้อมูลจาก http://www.dpim.go.th/dpimnews/article?catid=102&articleid=6859 เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2559
2. หนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี  ด่วนที่สุด  ที่ นร 0505/16885  ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2559  ดาวโหลดข้อมูลจากหน้าเฟซบุ๊ก ‘ภัทราพร ตั๊นงาม’  เข้าถึงข้อมูลตามลิ้งก์นี้  https://web.facebook.com/photo.php?fbid=1143873148967144&set=pcb.1143873198967139&type=3&theater  เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2559
3. เอกสารข่าวกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ‘กพร. แจงนโยบายยุติสัมปทานเหมืองแร่ทองคำ  ดาวน์โหลดข้อมูลจาก http://www.dpim.go.th/dpimnews/article?catid=102&articleid=6861 เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2559
4. จดหมายศาสตราระพี สาคริก ถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2559  ดาวน์โหลดข้อมูลจาก  http://www.matichon.co.th/news/135078 เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2559

เชิงอรรถ

[1] ในส่วนที่เกี่ยวกับการอนุมัติ/อนุญาตสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่เปลี่ยนมาอยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม  ในส่วนที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์ รักษา สงวน หวงห้าม หรือวิชาการด้านธรณีวิทยาสาขาต่าง ๆ ยังอยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมทรัพยากรธรณีเช่นเดิม แต่ย้ายมาสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  เมื่อครั้งปฏิรูปกระทรวง ทบวง กรม เมื่อเดือนตุลาคม 2545

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

 
Top