การเมืองไทยในภาวะโคม่าใน ‘รักที่ขอนแก่น’
Posted: 12 May 2016 11:41 PM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
ภาพยนตร์เรื่อง ‘รักที่ขอนแก่น’ (Cemetery of Splendour – ไม่มีการเผยแพร่หรือจัดจำหน่ ายในประเทศไทย) เป็นจดหมายรักที่อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล จ่าหน้าซองถึงจังหวัดภูมิ ลำเนาของตนเอง และยังเป็นถ้อยแถลงทางการเมื องอันแยบยลที่เค้นคั้ นจากความขมขื่นของความสัมพันธ์ ระหว่างเมืองหลวงกรุงเทพกรุ งไทยและภาคอีสาน
อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล หรือ เจ้ย เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทยที่ มีชื่อเสียง โดยได้รับรางวัลปาล์ มทองคำจากเทศกาลภาพยนตร์ นานาชาติเมืองคานส์จากเรื่อง ‘ลุงบุญมีระลึกชาติ’ เมื่อปี 2553 ผลงานล่าสุดของเขาเรื่อง ‘รักที่ขอนแก่น’ ก็ได้เข้าฉายในสาขา Un Certain Regard ที่เทศกาลหนังเมืองคานส์เมื่อปี ที่ผ่านมา
เจน (เจนจิรา พงศ์พัศ) กับอิฐ (บัลลพ ล้อมน้อย) ซึ่งอยู่ในร่างของเก่ง (จรินทร์ภัทรา เรืองรัมย์)
พากันลัดเลาะไปตามซากปรักหักพั
ภาพจาก Kick The Machine
‘รักที่ขอนแก่น’ บอกเล่าเรื่องราวของป้าเจน (เจนจิรา พงศ์พัศ) หญิงวัยกลางคนที่ขาข้างหนึ่งมี ปัญหา เธอที่ทำหน้าที่เป็นอาสาสมั ครในโรงพยาบาลเฉพาะกิจแห่งหนึ่ งซึ่งเคยเป็นโรงเรียนประจำชุ มชนมาก่อน ผู้ป่วยที่รักษาตัวอยู่ ในโรงพยาบาลแห่งนี้ล้วนเป็ นนายทหารหนุ่มที่ต่างนอนหลั บใหลบนเตียงด้วยอาการของโรคหลั บแบบไม่มีสาเหตุ เก่ง (จรินทร์ภัทรา เรืองรัมย์) ร่างทรงผู้มีญาณพิเศษบอกป้ าเจนว่าโรงพยาบาลแห่งนี้ตั้งอยู ่เหนือเขตพื้นที่พระราชวังแห่ งยุคโบราณ วิญญาณกษัตริย์นักรบที่เคยอาศั ยอยู่ในพระราชวังเหล่านี้ก็ยั งยาดกันไปมาบ่ได้เซา จึงได้มาดูดเอาพลังจากร่ างของทหารซุมนี้เพื่อทำการศึกต่ อไป ร่างเจ้าแม่ประจำศาลเจ้ าจำแลงกายเป็นหญิงสาวรู ปงามสองคน เก่งทำหน้าที่เป็นร่างทรงให้ ทหารหนุ่มนามว่าอิฐ (บัลลพ ล้อมน้อย) ซึ่งยังคงหลับใหลไม่รู้สึกตั วอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลเฉพาะกิ จ ฮูปเงาเรื่องนี้นำเสนอภาพแห่งห้ วงอดีตและอนาคต วิญญาณและเรื่องรักโรแมนติกที่ เดินทางข้ามวัฒนธรรมและข้ามภพข้ ามชาติ ที่ต่างซ้อนทับกันเป็นเรื่องเดี ยวท่ามกลางภาพผืนป่าโปร่งในเมื องขอนแก่น
โลกวิญญาณ โลกสามัญ โลกการเมืองโลกวิญญาณ โลกสามัญ โลกการเมือง
อภิชาติพงศ์นำเสนอ “สัจนิยมมหัศจรรย์แบบอีสาน” (Isaan-ese Magical Realism – การฉายภาพความจริงอย่างสามัญผ่ านปรากฏการณ์เหนือจริงแบบอีสาน) เส้นแบ่งระหว่างโลกของคนเป็นกั บโลกของวิญญาณพร่าเลือนไป กฎเกณฑ์ทางตรรกะวิทยาศาสตร์ต้ องชิดซ้ายเมื่อเทียบกับพลังบั งคับบัญชาของกษัตริย์โบราณและสุ สานเจ้าที่แรง
เก่งมีญาณวิเศษและสามารถสื่ อสารกับวิญญาณทหารนิทราที่ถูกกั กขังอยู่ภายใต้ในร่างอันหลับใหล เธอทำหน้าที่เป็นสื่อกลางให้ เหล่าญาติผู้ป่วยนิทราได้ ถามคำถามต่างๆ เช่น “อยากกินอีหยัง?” หรือ “สิทาสีครัวใหม่เป็นสีใดดีล่ะ?” ภาพดังกล่าวสื่อถึงโลกของภูตผี ที่ได้ร้อยรัดเข้ากับโลกสามัญ
ศาลเจ้าแม่ของเจ้าหญิ
ภาพจาก: Kick The Machine
ตอนป้าเจนกราบไหว้บูชาศาลเจ้ าแม่แถวบ้านเพื่อขอพร โดยเธอเสนอถวายรูปปั้นสัตว์ต่ างๆ ขนาดจิ๋วไม่กี่ตัว ภาพนี้คนไทยคงเห็นเป็นเรื่ องปกติ แต่คนต่างชาติคงเห็นเป็ นของแปลกแต่ก็เข้าใจได้ ผิดกันกับยามเจ้าแม่กลายร่ างมาเป็นมนุษย์เดินดินใส่เสื้ อผ้าคือคนธรรมดา (“ปกติหมู่เฮากะบ่ได้แต่งโตแต่ งหน้าแบบนี้ดอก”) บัดนั้นความเชื่องมงายก็ข้ ามไปสู่ปริมณฑลของความเป็นจริ งและความมหัศจรรย์
เวลาที่ดำเนินไปในหนังเรื่องนี้ ก็ดูบิดเบี้ยวไม่เป็นเส้นตรง เมื่อเก่งทำหน้าที่เป็นร่ างทรงของอิฐให้กับป้าเจน อิฐที่อยู่ในร่างของเก่งได้พาป้ าเจนเดินไปยังพื้นป่าโปร่งอั นแห้งแล้งและรกร้าง พลางเล่าถึงภาพพระราชวังในในอดี ต เช่นว่าโถส้วมนั้นทำมาหินอ่อนสี ชมพูและอ่างสรงทำจากหยก การบอกเล่าภาพของสถานที่แห่งนี้ ที่เคยเป็นเปรียบเสมื อนการโหยหาซึ่งอดีตอันรุ่งโรจน์ ของอีสาน ซึ่งตอนนี้ “มองไปทางไหนก็มีแต่ทุ่งนา” อิฐที่อยู่ในร่างของเก่งกล่าว
ถ้าพื้นที่สักแห่งยังสามารถมี เจ้าแม่เทพธิดาและวิญญาณสิงสู่ อยู่ได้เป็นพันๆ ปี ความรุ่งโรจน์ที่ผ่านไปแล้วก็ย่ อมสามารถอยู่ในความจำของผู้ที่ อยู่อาศัยในปัจจุบันเช่นกัน ตามที่ปรากฎในภาพยนตร์เรื่องนี้ อภิชาติพงศ์ได้นำเสนอภาพแห่งห้ วงกาลเวลาที่มีลักษณะแบบไทย แบบพุทธ หรือจะเรียกว่าแบบศาสนาผีก็ได้ นั่นคือ เวลาไม่ได้เดินเป็นเส้นตรงเหมื อนกับที่ชาวตะวันตกรับรู้ ทว่าเวลาเป็นวัฏจักร คล้ายจะบอกว่าการหมุนเวียนจากวั งอันโออ่ามโหฬารสู่ผืนดินอั นเปล่าเปลี่ยวรกร้างนั้นเป็นเพี ยงภาวะของความไม่เที่ยง และมุมมองว่าเวลาเป็นวัฏจักรนี้ ยังส่งสารอันไม่น่าอภิรมย์สะท้ อนไปถึงเรื่องการเมืองได้อย่ างแยบยลว่า ในเมื่ออำนาจของกษัตริย์ในยุ คโบราณต่างก็พังทลายเหลือแค่ผื นดินว่างเปล่า ไฉนเลยระบอบการปกครองปัจจุบั นจะไม่พังทลายลงเช่นเดียวกันได้
ภาวะของความไม่เสถียรของผู้มี อำนาจปรากฏชัดที่สุดครั้งหนึ่ งในภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นภาพฉากโรงหนังแห่งหนึ่งที่ กำลังฉายหนังสยองขวัญที่ดู แปลกแต่ก็น่าขันและฉากห้ างสรรพสินค้าที่มีบันไดเลื่ อนและแสงไฟนีออนจัดวางอย่างน่ าพิศวงดูเหมือนเขาวงกต ห้างสรรพสินค้าสไตล์กรุงเทพฯ ที่ปรากฎอยู่ในขอนแก่น คือวิหารละลานตาของระบอบทุนนิ ยมที่พยายามสะกดบรรดาผู้ ชมภาพยนตร์ไว้ด้วยเสียงกรีดร้ องแห่งห้วงอารมณ์ล้นเอ่อบนจอเงิ น เพื่อที่ว่าเมื่อหนังจบ ผู้ชมทั้งหลายเหล่านั้นจะได้ปฏิ บัติตามกฎระเบียบ เดินออกจากโรงภาพยนตร์อย่างว่ าง่าย
แต่สิ่งที่ปรากฎเห็นอยู่เหนื อแถวที่นั่งนั้นกลับเป็นอะไรที่ ผิดแผกแตกต่างไปจากห้างแบบกรุ งเทพกรุงไทย แทนที่จะใช้เครื่องปรับอากาศ โรงหนังแห่งนี้กลับใช้พั ดลมหลายตัวเสียงดังหึ่ง รสชาติแบบท้องถิ่นนี้ยิ่งทวี ความหมายขึ้นเมื่อแสงไฟนี ออนอาบทัศนียภาพให้เป็นสีนั้นสี นี้ ก่อนจะลงเอยที่สีแดง อันเป็นสัญลักษณ์การเมืองกีฬาสี ของประเทศไทย รวมถึงมวลชนคนเสื้อแดงในอีสานด้ วย
สายตาแบบตะวันตกคงจะมองว่ าฉากเต้นแอโรบิกอย่างพร้อมเพรี ยงกันนั้นเป็นการบังคับร่ างกายและเจตจำนงเสรีของปัจเจกบุ คคล เพราะการรับรู้เรื่อง “ตัวตน” แบบตะวันตกนั้นมีพื้ นฐานมาจากแนวคิดเรื่องความเป็ นตัวของตัวเอง ไม่ขึ้นกับใคร แต่สายตาแบบไทยนั้นมอง “ตัวตน” ในแบบที่พึ่งพาอาศัยซึ่งกั นและกันเป็นหมู่คณะมากกว่า คนแต่ละคนทำเหมือนว่าสิ่งที่ตั วเองแสดงออกมีที่มาจากคนอื่ นและส่งผลกระทบต่อคนอื่น จังซั่นถ้าเราจะวิเคราะห์แนวคิ ดเรื่องการพึ่งพาอาศัยกั นในทางการเมือง ก็จะเห็นได้ว่า สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมื องของอีสาน และของประเทศไทย ไม่ได้เป็นผลมาจากปัจเจกชนคนเดี ยวที่เที่ยวใช้อำนาจกดขี่ ตามอำเภอใจ แต่เป็นผลมาจากการกระทำซ้ำๆ ต่อๆ กันมาโดยคนทั่วทุกหมู่เหล่าเสี ยมากกว่า
สีเปลี่ยนอย่างชวนพิศวงราวกับว่
และภาวะความผันแปรกลับไปกลั
เสียงของอีสาน
อิฐที่อยู่ในร่างของเก่งพาป้ าเจนเดินชมป่าโปร่งอันเคยเป็นที ่ตั้งพระราชวังโบราณ ทั้งสองได้เห็นสุภาษิตปริ ศนาธรรมบนป้ายไม้ที่ตอกติดยึ ดไว้กับต้นไม้หลากหลายชนิด เช่น “เศรษฐีตัวเท่ามดคนยังเห็น ยาจกตัวเท่าภูเขาไม่มีใครเห็น” ราชาจอมทัพเมื่อสหัสวรรษไกลโพ้ นยังมีอำนาจเหนื อพลทหารคนยากในยุคปัจจุบัน สามารถดูดพลังชีวิตไปใช้เพื่ อการต่อสู้ของตัวเองได้อย่างหน้ าตาเฉย เรื่องราวจังซี่หละที่อาจถือเป็ นการกรีดร้องแบบมิดจี่หลี่ เสียงของอีสานที่กู่ตะโกนต้ านการกดขี่แผ่นดินแห่งนี้
อภิชาติพงศ์เคยให้สัมภาษณ์ครั้ งหนึ่งว่า การเป็นพลเมืองในประเทศไทยนั้ นไม่ต่างจากการตกอยู่ใต้อาณัติ ของฤดูรัฐประหารอันน่าเศร้าใจที ่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาตลอด วงจรที่กดประชาชนให้ไร้ซึ่ งอำนาจที่จะปลดเปลื้องอาณัตินี้ ญ่อนเป็นอย่างนี้แล้ว ก็เลยง่ายกว่ากันหลายที่จะ “นอน” เพื่อหลบลี้สู่โลกเพ้อฝั นแฟนตาซี โดยอภิชาติพงศ์ยกตัวอย่างว่ าการดูข่าวทีวีที่รัฐอนุมัติก็ เป็นแฟนตาซีอย่างหนึ่ง จังซั่นภาพของความฝันและการหลั บใหลที่ปรากฏมาตั้งแต่ภาพยนตร์ เรื่อง ‘สุดเสน่หา’ และงานแสดงชุด Primitive ก็จึงยิ่งเหมาะแก่กาลและทวี ความหมายขึ้นไปอีกขั้นในเรื่อง ‘รักที่ขอนแก่น’ นายทหารหลายคนพากันเป็นโรคหลั บซึ่งเทียบได้กับกองทั พไทยในโลกจริงที่กำลังหลั บใหลได้ปลื้มอยู่กั บการกระชากลากถู ประเทศไปตามรอยความขัดแย้ งโบราณที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็ น แต่เมื่อมองจากตัวละครที่ต่าง “ตื่นรู้” (ซึ่งอาจเป็นภาพแทนของการตื่นรู ้ทางการเมือง) ทหารที่นอนหลับก็ทั้งชวนขั นและน่าตื่นตระหนก (ดังที่เห็นได้จากฉากที่ พยาบาลเล่นกับ “ของ” ทหารที่แข็งอยู่ใต้ผ้าห่ม และจากการที่ป้าเจนเฝ้าพะวงกั บอาการโคม่าของอิฐ)
ทหารซุมนี้หลับๆ ตื่นๆ อย่างไวคือผีเข้าผีออก เช่นเดียวกับพลเมืองที่ช่วงหนึ่ งก็ไร้ความรู้สึกทางการเมืองอย่ างสิ้นเชิง แต่อีกช่วงหนึ่งก็ตื่นตัวสุ ดเหวี่ยง ในตอนหนึ่งของห้วงเวลาอันน้อยนิ ดที่อิฐมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน เขาบอกป้าเจนว่ าอยากลาออกจากกองทัพ ญ่อนว่า “เป็นทหารมันไม่มีอนาคต วันๆ ล้างแต่รถนายพล”
อิฐบอกว่า หากเลือกที่จะทำได้แทนการเป็ นทหาร (ซึ่งหมายถึงการอยู่ภายใต้ ระบอบการปกครองของทหาร) เขาอยากเป็นพ่อค้าขายขนมเปี๊ ยะสูตรไต้หวันส่งตามปั๊มน้ำมั นทั่วภาคอีสาน ฉันใดก็ฉันนั้น ทางออกแทนการยึดกุมประเทศชาติด้ วยลัทธิชาตินิยมแบบล้นเกินและยึ ดทหารเป็นสรณะ ‘รักที่ขอนแก่น’ ก็เสนอว่าอาจมีทางอื่นให้เลื อกอยู่ก็เป็นได้ นั่นคือ ทางเลือกของความมั่งคั่ งทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่ ไหลเวียนไปทั่วถึงทุกภูมิ ภาคในประเทศไทย
เจนและเก่งยืนมองเซลส์สาวสลั
และภาษาไทยมาตรฐานเพื่อสร้
ภาษาถิ่นอีสาน: ซูเปอร์แมน, แคลอรี่, อเมริกันดรีม
‘รักที่ขอนแก่น’ เพียบพร้อมไปด้วยภาพชวนฝันของอี สาน ผสมผสานความเป็นศิลปะที่เราไม่ ค่อยเคยเห็นได้เคียงคู่กับภูมิ ประเทศแห้งแล้งแดดเริงแรง ภาพระยะไกลของสิ่งสามั ญปรากฎในหนัง ทำให้คนดูตระหนักได้ว่ามีหลายสิ ่งหลายอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ ของขอนแก่นและภูมิภาคนี้ ไม่ว่าจะเป็นบิลบอร์ดโฆษณาสตูดิ โอถ่ายภาพเจ้าบ่าวชาวตะวันตก- เจ้าสาวคนไทย ภาพร่างทรงในศาลาริมบึง เครื่องมือการแพทย์ จากประเทศอเมริกาที่ฉายแสงนี ออนไปทั่วโรงเรียนที่กลายเป็ นโรงพยาบาลเฉพาะกิจ
สำหรับคนกรุงเทพอย่างผู้วิจารณ์ การใช้ภาษาถิ่นอีสานอย่างตะพึ ดตะพือแทนการใช้ ภาษาไทยมาตรฐานเหมือนภาพยนตร์ และตามรายการโทรทัศน์กระแสหลั กทั่วไป ออกจะชวนสนเท่ห์ใจและทำให้ได้คิ ดต่อ ตัวละครในหนังที่เป็นคนอีสานสลั บไปมาระหว่างภาษาถิ่นทั้ งสองตามแต่สถานการณ์ ซึ่งสอดคล้องกับประสบการณ์จริ งของคนอีสานจำนวนมาก สำเนียงนุ่มนวลกลมกล่อมแบบอี สานตอนกลางไม่ได้เป็นภาษาที่ใช้ สนทนาแต่เรื่ องการเกษตรและความอึดอยากอย่ างที่รายการทีวีช่อง 3 ทำให้เราต่างหลงเชื่อว่าเป็นอย่ างนั้น ทว่าภาษาอีสานยังใช้พูดถึงป๊ อปคัลเจอร์ของสหรัฐอเมริกา (pop culture – วัฒนธรรมกระแสหลัก) สถานการณ์ปัจจุบันของนานาประเทศ การนับจำนวนแคลอรี่อาหารที่ ทานเข้าไป และเรื่องใดก็ตามที่คนกรุงเทพคิ ดว่าจะได้ยินเป็ นภาษาไทยมาตรฐาน ภาษาอีสานยังเป็นตัวเชื่อมสัมพั นธ์คนบ้านเดียวกันได้อย่างไว ดังเห็นได้จากที่คนแปลกหน้ าจากโลกจริงและโลกเหนือจริงใช้ พาสาลาวนี้ทลายกำแพง เฉกเช่นในฉากที่เจ้าแม่สี สองนางที่เคยเป็นเจ้าหญิงจากเมื องลาวมาเยี่ยมยามป้าเจน
ในโรงพยาบาล พยาบาลต่างพากันเว่าพื่นเป็ นภาษาอีสาน แต่ครั้นจะรายงานให้คุณหมอทราบ ก็สลับกลับเป็นภาษาไทยมาตรฐาน ภาษาไทยมาตรฐานกลายเป็นเสี ยงของอำนาจจากส่วนกลางที่ตั้ งอยู่ห่างออกไปจากภูมิภาค แพทย์ผู้มาเยือนนำกลุ่ มพยาบาลและผู้ดูแลทำสมาธิตามหลั กพุทธศาสนาแบบเพ่งจิต โดยบอกว่าหลักศาสนานี้มีเหตุ ผลและอยู่เหนือ “ความเชื่องมงาย” ตามแบบศาสนาผีและมนตราของท้องถิ ่น เซลส์สาวขายครีมทาผิ วผสมผสานภาษาทั้งสองเพื่อสร้ างความรู้สึกร่วมกับลูกค้าคนอี สานพร้อมไปกับแสดงอำนาจแบบส่ วนกลางของรัฐ
ภาษาอังกฤษก็มีที่ทางในฮู ปเงาเรื่องนี้เช่นกัน โดยปรากฏอยู่ในบทสนทนาระหว่างป้ าเจนและริชาร์ด สามีชาวอเมริกันของเธอ ความสัมพันธ์ของทั้งสองขัดต่ อภาพจำในแง่ลบของ “อีปึก” ที่ได้ “ผัวฝรั่ง” เพราะหนังเรื่องนี้นำเสนอป้ าเจนว่าเป็นฝ่ายที่ตัดสิ นใจทำอะไรเองมากกว่าและมีความรู ้มากกว่า “ป้าชอบคนยุโรปมากกว่าคนอเมริกั นนะ คนอเมริกันน่ะจน คนยุโรปต่างหากที่ใช้ชีวิ ตตามแบบอเมริกันดรีมเลยละ” ป้าเจนบอก
อภิชาติพงศ์ส่งสารอันแยบยลและขื ่นขมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่ างกรุงเทพกรุงไทยและภาคอีสานผ่ านภาพยนตร์เรื่อง ‘รักที่ขอนแก่น’ กาลเวลาหมุนเป็นวัฏฏะ และการรัฐประหารก็เป็นแค่เหตุ การณ์ตามฤดูกาล ทหารที่หลับใหลในภาวะโคม่าใช้ชี วิตอยู่ในโลกเพ้อฝันแฟนตาซีอยู่ กับผู้ที่นอนหลับทับการตื่นรู้ ทางการเมือง และแม้แต่ผู้ที่ “ตื่นรู้” ก็ยังต้องปฏิบัติตามพิธี กรรมและกิจวัตรที่ทำตามๆ กันมา ภาษาถิ่นอีสานเป็นตัวชูโรง เป็นของแปลกแปร่งทว่าน่าชื่ นใจซึ่งสวนกระแสสื่อใหญ่ซึ่ งพกพาภาพลวงละลานตามามึ นชามวลชน คือแม่นป้ายในป่าอีสานซึ่งเตื อนผู้กดขี่ไว้ว่า “ความกระหายอยากไปสวรรค์ จะฉุดท่านลงนรก”
0000
หมายเหตุ: เนื้อหาบางส่วนของบทวิจารณ์นี้ ถูกตัดออกเนื่องจากข้อกั งวลทางกฎหมาย
เกี่ยวกับผู้เขียน: เอสรี ไทยตระกูลพาณิช เป็นนักเขียนอิสระที่มี ผลงานเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ ประชาไทอิงลิชออนไลน์และสำนักข่ าวภาษาอังกฤษอื่นๆ ในประเทศไทย เอสรีเกิดและโตในกรุงเทพมหานคร และได้สำเร็จการศึกษาระดับปริ ญญาตรีจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลั ยสาขาภาษาและวัฒนธรรม
เกี่ยวกับผู้เขียน: เอสรี ไทยตระกูลพาณิช เป็นนักเขียนอิสระที่มี
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น