ชำนาญ จันทร์เรือง: วัฒนธรรมทางการเมืองของไทย
Posted: 11 May 2016 09:19 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
การที่เราจะเข้าใจในความเป็
วัฒนธรรมทางการเมืองคืออะไร
วัฒนธรรม หมายความถึง แนวความคิด แนวปฏิบัติ หรือเทคนิควิธีดั้งเดิมที่ใช้ร่ วมกัน โดยกลุ่มคนพวกเดียวกัน ฉะนั้น วัฒนธรรมทางการเมือง จึงหมายถึง แบบแผนของทัศนคติและความเชื่ อของบุคคลที่มีต่อระบบการเมื องของกลุ่มสมาชิกของระบบการเมื องหนึ่ง โดยวัฒนธรรมทางการเมืองในแต่ ละชุมชนก็จะมีความเป็นตัวของตั วเอง ซึ่งถูกกำหนดขึ้นหรือได้รับอิ ทธิพลจากสภาวะแวดล้อม เช่น ประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียม ประเพณี ศาสนา โดยผ่านกระบวนการขั ดเกลาทางการเมือง(political socialization)โดยสถาบันต่างๆ เช่น ครอบครัว,เพื่อน,โรงเรียน,กลุ่ มสังคมและสื่อมวลชน เพื่อที่จะถ่ายทอดวั ฒนธรรมทางการเมืองจากรุ่นหนึ่ งไปสู่รุ่นหนึ่งอย่างต่อเนื่ องและมีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงให้ เข้ากับสภาวะแวดล้อมต่างๆอยู่ เสมอ
ประเภทของวัฒนธรรมธรรมทางการเมื อง
1.วัฒนธรรมทางการเมืองแบบดั้ งเดิมจำกัดวงแคบ(parochial political culture) คือ วัฒนธรรมทางการเมืองของบุคคลที่ ไม่รู้และไม่สนใจการเมืองและไม่ คิดว่าจะได้รับผลกระทบจากการเมื อง คนที่มีความคิดแบบนี้จึงไม่คิ ดที่จะเข้าไปมีส่วนร่ วมทางการเมือง ทำให้ประชาชนมีสำนึกทางการเมื องต่ำ ขาดการมีส่วนร่วมทางการเมือง พูดง่ายๆแบบภาษาเหนือก็คือ “บ่ฮู้ บ่หัน” ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นที่เกี่ยวข้ องกับการเมือง
2.วัฒนธรรมทางการเมืองแบบไพร่ฟ้ า(subject political culture) คือ วัฒนธรรมทางการเมืองที่บุ คคลในสังคมสนใจการเมืองบ้าง แต่เข้าใจการเมืองในลักษณะที่ ยอมรับอำนาจของผู้ปกครอง ดังนั้น จึงไม่สนใจที่จะเข้าไปมีส่วนร่ วมทางการเมืองโดยตรง พูดง่ายๆแบบภาษาเหนือก็คือ “เอาเปิ้นว่า” หรือ “เขาเอาอย่างไร ก็เอาอย่างนั้น” นั่นเอง
3.วัฒนธรรมทางการเมืองแบบมีส่ วนร่วม(participant political culture) คือ วัฒนธรรมทางการเมืองที่บุ คคลสนใจการเมืองและตระหนักว่ าการเมืองมีผลกระทบต่อวิถีชีวิ ตของเขาในทุกด้าน พวกเขาจึงกระตือรือร้นที่จะเข้ ามามีกิจกรรมทางการเมืองทั้ งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ
2.วัฒนธรรมทางการเมืองแบบไพร่ฟ้
3.วัฒนธรรมทางการเมืองแบบมีส่
ความสำคัญของวัฒนธรรมทางการเมื อง
1.วัฒนธรรมทางการเมืองช่วยสร้ างความชอบธรรม(legitimization) ให้กับระบอบการปกครอง เพราะวัฒนธรรมทางการเมืองทำให้ ประชาชนยอมรับระบอบการปกครองนั้ นๆ เช่น วัฒนธรรมทางการเมืองแบบไพร่ฟ้ าก็จะยอมรับระบอบเผด็จการ หลายๆประเทศตระหนักถึงความสำคั ญของการปลูกฝังวั ฒนธรรมทางการเมือง จึงได้มีการผลิตซ้ำวั ฒนธรรมทางการเมืองที่สนับสนุ นระบบอบการปกครองอย่างใดอย่ างหนึ่งเสมอ เช่น จีนหลังการปฏิวัติ 1949 ก็สร้างวัฒนธรรมทางการเมืองให้ เหมาะกับระบอบการปกครองแบบคอมมิ วนิสต์, สหภาพโซเวียตก็สร้างค่านิ ยมแบบSoviet Man ขึ้นมา, จอมพล ป.พิบูลสงครามก็ปลูกฝังวั ฒนธรรมทางการเมือง “เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย” และล่าสุดก็มีการสร้างค่านิยม 12 ประการเพื่อปลูกฝังวั ฒนธรรมทางการเมืองขึ้นมา
2.วัฒนธรรมทางการเมืองช่วยกระตุ ้นให้เกิดการเปลี่ ยนแปลงทางการเมือง ตัวอย่างเช่น กรณีอาหรับสปริง เป็นต้น ส่วนของไทยก็คือกรณีการเปลี่ ยนแปลงการปกครอง 2475 ที่คณะราษฎรที่เป็นผู้ นำในการเปลี่ยนแปลงล้วนแล้วแต่ เป็นผู้ได้รับการศึกษาจากต่ างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือยุโรปและส่ วนใหญ่จากฝรั่งเศส จึงได้รับวัฒนธรรมทางการเมืองที ่เน้นสิทธิเสรีภาพของประชาชน และนำไปสู่การเปลี่ ยนแปลงการปกครองในที่สุด หรือกรณี 14 ตุลา 16และพฤษภา 35 ก็เช่นกัน
วัฒนธรรมทางการเมืองของไทย
ประเทศไทยเราจากอดีตที่ผ่ านมาคนไทยเรามีวั ฒนธรรมทางการเมืองแบบไพร่ฟ้ ามากกว่าแบบมีส่วนร่วม จึงทำให้เกิดผลคือการเมืองไทยถู กครอบงำด้วยข้าราชการและทหารติ ดต่อกันมา แต่จากการพัฒนาเศรษฐกิจและสั งคมในช่วงหลังปี 2500 เป็นต้นมา ทำให้เกิดคนกลุ่มใหม่ในสังคมไทย ซึ่งคนกลุ่มใหม่นี้เป็นผู้ได้รั บการศึกษาในแบบตะวันตก เป็นกลุ่มคนที่เติบโตมากั บระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม มีความมั่นใจในตัวเองและติดต่ อกับชาติที่เป็นประชาธิปไตยมาก ทั้งอิทธิพลจากสื่อมวลชนและสื่ อสังคมออนไลน์ที่ทำให้เขาเหล่ าได้รับรู้รับทราบถึงความเป็ นไปในโลกกว้าง ทำให้พวกเขาต้องการเข้ามามีส่ วนร่วมในทางการนเมืองมากขึ้น
กอปรกับการเปลี่ยนของชุ มชนชนบทไทยได้มีการเปลี่ ยนแปลงไปอย่างมาก อาชีพชาวนาถูกแปรสภาพไปเป็นผู้ รับจ้างทำนาหรือเป็นผู้ ประกอบการรายย่อยที่ทำนาผ่ านโทรศัพท์มือถือ วัฒนธรรมทางการเมืองของชนบทได้ เปลี่ยนแปลงไปตามการขยายตั วของเมืองใหญ่ การติดต่อสื่อสาร การเข้ามาทำงานในเมื องของคนจากชนบทและกลับไปรับใช้ สังคมบ้านเกิด ทำให้วัฒนธรรมทางการเมื องในชนบทเกิดการเปลี่ ยนแปลงมากขึ้น มีการสำนึกในการปกครองท้องถิ่ นที่เชื่อว่าไม่มีใครรู้ปั ญหาของท้องถิ่นดีกว่าคนท้องถิ่ นเอง มีการรณรงค์จังหวัดจั ดการตนเองกันอย่างแพร่หลายไปทั่ วประเทศ
จึงสามารถกล่าวได้ว่าปัจจุบันวั ฒนธรรมทางการเมืองของไทยกำลั งเคลื่อนจากวัฒนธรรมทางการเมื องแบบไพร่ฟ้าไปสู่วั ฒนธรรมทางการเมืองแบบมีส่วนร่วม แน่นอนว่าในช่วงระยะของการเปลี่ ยนผ่านของวัฒนธรรมทางการเมื องหนึ่งไปสู่อีกวั ฒนธรรมทางการเมืองหนึ่งย่อมเผชิ ญกับการต่อต้านของกลุ่มวั ฒนธรรมทางการเมืองเดิม สุดแล้วแต่ว่าจะเป็นไปด้ วยความเรียบร้อยหรือมีการสะดุ ดเป็นระยะๆ หรือในบางครั้งก็ถอยหลัง แต่ถึงอย่างไรก็คงต้องเดินหน้ าอยู่ดี
ภาวะของวัฒนธรรมทางการเมื องของไทยเราจึงอยู่ในระหว่ างการยื้อยุดฉุดกระชากกันและกั นระหว่างวัฒนธรรมทางการเมืองเก่ ากับวัฒนธรรมทางการเมืองใหม่ จนทำให้เกิดภาวะประหลาดขึ้น ดังคำกล่าวของ Antonio Gramsci ที่เคยว่าไว้นานแล้ว คือ “The old world is dying away,and the new world struggles to come forth : now is time of monster.” นั่นเอง
2.วัฒนธรรมทางการเมืองช่วยกระตุ
วัฒนธรรมทางการเมืองของไทย
ประเทศไทยเราจากอดีตที่ผ่
กอปรกับการเปลี่ยนของชุ
จึงสามารถกล่าวได้ว่าปัจจุบันวั
ภาวะของวัฒนธรรมทางการเมื
หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันพุธที่ 11 พฤษภาคม 2559
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น