11 องค์กรสิทธิ ยกบทเรียน 2 ปี 'บิลลี่' หายตัว ร้องรัฐป้องกันการบังคับบุคคลสู ญหายอย่างจริงจัง
Posted: 10 May 2016 10:56 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
10 พ.ค. 2559 องค์กรสิทธิมนุษยชน 11 องค์กร ประกอบด้วย สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (HRLA) สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (UCL) มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CrCF) มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน (CRC) มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการ พัฒนา (HRDF) ศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา ศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมช นท้องถิ่น(CPCR) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (TLHR) ขบวนการผู้หญิงเพื่อการปฏิรูปปร ะเทศไทย (WeMove) มูลนิธินิติธรรมส่งแวดล้อม (EnLaw) และมูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติ ภาพ (JPF) ออกแถลงการณ์ เนื่องในโอกาสครบรอบ 2 ปีการหายตัวไปของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ โดยเรียกร้องให้รัฐไทยต้องดำเนิ นการป้องกันการบังคับบุคคลสู ญหายอย่างจริงจังและเร่งดำเนิ นการสืบสวนสอบสวนเพื่อทราบชะตาก รรมของผู้ถูกบังคับสูญหายหลายรา ยที่ผ่านมา
โดยมีรายละเอียดดังนี้
แถลงการณ์ เนื่องในโอกาสครบรอบ 2 ปีการหายตัวไปของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่
รัฐไทยต้องดำเนินการป้องกั นการบังคับบุคคลสูญหายอย่างจริ งจังและเร่งดำเนินการสื บสวนสอบสวนเพื่ อทราบชะตากรรมของผู้ถูกบังคับสู ญหายหลายรายที่ผ่านมา
ประเทศไทยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่า นมา มีแกนนำชาวบ้าน นักเคลื่อนไหว นักต่อสู่เพื่อสิทธิมนุษยชน ถูกคุกคาม ถูกสังหารหรือแม้แต่ถูกบังคับให ้หายสาบสูญเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะสถานการณ์การบังคับบุคค ลสูญหายในประเทศไทยนั้น จากสถิติที่มีการรวบรวมจากการร้ องเรียนโดยคณะทำงานว่าด้วยการบั งคับบุคคลให้สูญหายหรือการสูญหา ยโดยไม่สมัครใจ ระหว่างปี 2523 ถึง 2557 ประเทศไทยมีการบังคับสูญหาย 89 กรณี โดยใน 81 กรณี ยังไม่ได้รับการแก้ไข รวมถึงกรณีของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ นักต่อสู้เพื่อสิทธิชุมชนชาวกะเ หรี่ยงที่หายตัวไปเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 ด้วย[1] ในจำนวนนี้ยังไม่รวมกรณีนายฟาเด ล เสาะหมาน อดีตผู้ต้องขังถูกที่ถูกดำเนินค ดีเกี่ยวกับความมั่นคง ซึ่งถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ 3 คนใช้กำลังบังคับเอาตัวและหายสา บสูญไป เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2559และกรณีของนายเด่น คำแหล้ประธานโฉนดชุมชนโคกยาว ที่ได้ต่อสู้ในประเด็นที่ดินทำก ินซึ่งหายตัวไปเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2559หลังเดินทางเข้าป่าเพื่อหาเ ก็บหน่อไม้
โดยที่การบังคับสูญหายมักจะเกิด ขึ้นเมื่อมีการให้อำนาจเจ้าหน้า ที่โดยปราศจากการตรวจสอบดังเช่น ข้อมูลการศึกษาโดยมูลนิธิยุติธร รมเพื่อสันติภาพ ระบุว่า การบังคับสูญหายจะเกิดขึ้นอย่าง กว้างขวาง หากรัฐมีนโยบายในด้านความมั่นคง หรือการปราบปรามอย่างหนัก อาทิ นโยบายการปราบปรามการก่อความไม่ สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ของไทย และนโยบายสงครามยาเสพติด ในปี 2546[2] เป็นต้น และปัจจุบัน คสช. ได้ออกคำสั่งที่ให้อำนาจแก่เจ้า หน้าที่รัฐอย่างกว้างขว้าง โดยเฉพาะคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาค วามสงบแห่งชาติที่ 3/2558 และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสง บแห่งชาติที่ 13/2559 ซึ่งเป็นการเปิดช่องให้เจ้าหน้า ที่สามารถควบคุมตัวบุคคลไว้ได้ไ ม่เกิน7 วัน และไม่ระบุสถานที่ควบคุมตัวโดยญ าติและทนายความไม่สามารถเข้าถึง หรือตรวจสอบการควบคุมตัวบุคคลที ่ถูกควบคุมตัวได้ในทันที[3] จึงอาจทำให้บุคคลเหล่านั้นตกอยู ่ในความเสี่ยงที่จะถูกบังคับให้ หายสาบสูญ
การบังคับให้บุคคลหายสาบสูญถือเ ป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงและผู้ที ่ตกเป็นเหยื่อหรือญาติมักจะไม่ สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติ ธรรมได้ ดังจะเห็นได้จากที่ผ่านมารัฐบาล ไทยยังไม่ประสบความสำเร็จในการค ลี่คลายคดีและสืบสวนสอบสวนเพื่ อนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่ กระบวนการยุติธรรมและลงโทษอย่ างเหมาะสมรวมทั้งไม่สามารถสื บสวนเพื่อทราบที่อยู่ และชะตากรรมของผู้ถูกบังคับสู ญหายได้ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากข้อจำก ัดทางกฎหมายของประเทศไทย ที่ยังไม่ได้กำหนดให้การบังคับส ูญหายเป็นความผิดทางอาญารวมถึงก ระบวนการสืบสวนสอบสวนค้นหาความจ ริงยังขาดความเป็นอิสระ หรืออาจไม่ใส่ใจที่จะสืบสวนสอบส วนโดยทันที
แม้ประเทศไทยได้ลงนามในอนุสัญญา ระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครอ งบุคคลทุกคนจากการสูญหายโดยถู กบังคับ (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance (CED)) เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2555 แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่ได้ให้สัตยา บันในอนุสัญญาดังกล่าว และแม้รัฐไทยจะมีการยกร่างกฎหมา ยเกี่ยวกับการป้องกันการทรมานแล ะบังคับสูญหายแล้ว แต่กระบวนการที่จะทำให้กฎหมายฉบ ับนี้ออกมาบังคับใช้ก็เป็นไปอย่ างล่าช้า หากเปรียบเทียบกับกฎหมายฉบับอื่ นๆ ที่เร่งตราออกมาอย่างรวดเร็วภาย ใต้รัฐบาลนี้
ดังนั้น เนื่องในโอกาสครบรอบ 2 ปีการหายตัวไปของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนชาวบ างกลอยหลังจากที่เขาถูกเจ้าหน้ าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานคว บคุมตัวไว้เมื่อ 17 เมษายน 2557โดยปัจจุบันก็ยังไม่มีความค ืบหน้ามากนักในการสืบหาตัวและนำ ผู้กระทำผิดมารับโทษ อันมีเหตุส่วนหนึ่งมาจากข้อบกพร ่องของกระบวนการยุติธรรมไทย ซึ่งความไม่คืบหน้าในการสืบสวนส อบสวนกรณีของบิลลี่ดังกล่าวและก ารลอยนวลพ้นผิดของผู้กระทำในอดี ตที่ผ่านมาประกอบกับสถานการณ์บั งคับใช้กฎหมายและนโยบายภายใต้รั ฐบาลนี้ที่ก่อให้เกิดความเสี่ ยงต่อการบังคับสูญหายได้
องค์กรที่มีรายนามแนบท้ายแถลงกา รณ์นี้ ซึ่งเป็นองค์กรภาคประชาสังคมที่ ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและห น่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนิ นการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิ ดการบังคับสูญหายอย่างเร่งด่วน ดังต่อไปนี้
1. ขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาร ับคดีการหายตัวไปของบิลลี่เป็ นคดีพิเศษอย่างเร่งด่วนและต้ องมีการดำเนินการสืบสวนสอบสวนอย ่างจริงจัง เร่งด่วน อิสระ และเป็นมืออาชีพ จนทราบชะตากรรมของบิลลี่เพราะคด ีนี้เป็นคดีที่มีความสำคัญต่ อนโยบายด้านกระบวนการยุติธรรม การบังคับให้บุคคลใดสูญหายเป็นเ รื่องที่รัฐจะต้องกำหนดมาตรการอ ย่างเด็ดขาดในการสื บสวนหาความจริง เพื่อไม่ให้กรณีเช่นนี้เกิดขึ้น อีก และถึงแม้ปัจจุบันประเทศไทยจะยั งไม่มีการกำหนดให้การบังคับบุคค ลสูญหายเป็นความผิดทางอาญา แต่ประเทศไทยได้ลงนามในอนุสัญญา ระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครอ งมิให้บุคคลถูกบังคับให้สูญหายแ ล้ว ในฐานะรัฐภาคีจึงควรใช้มาตรการท ี่จำเป็นทั้งหมดเพื่อป้องกั นการบังคับให้สูญหายและไม่ให้ผู ้กระทำลอยนวลพ้นผิดเนื่องจากควา มผิดฐานบังคับให้สูญหาย
2. จากกรณีการหายตัวไปของนายเด่น คำแหล้ นักต่อสู้เพื่อสิทธิในที่ดินเมื ่อวันที่ 16 เมษายน 2559 ที่ผ่านมา โดยจากการค้นหาของเครือข่ายชาวบ ้านสมาชิกเครือข่ายปฎิรูปที่ดิ นภาคอีสาน พบหลักฐานที่บงชี้ว่าการหายตัวไ ปของนายเด่น อาจเกิดจากการกระทำของมนุษย์ ดังนั้น เพื่อให้เกิดการคลี่คลายในกรณีด ังกล่าว จึงขอเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐที ่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานตำรวจแห่งช าติ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ หรือแม้แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ต้องร่วมมือกันสืบสวนสอบสวนอย่า งจริงจัง เร่งด่วน อิสระ และเป็นมืออาชีพ จนทราบชะตากรรมของนายเด่น คำแหล้
3. ขอให้มีการดำเนินการทั้งทางอาญา และทางวินัยต่อเจ้าหน้าที่ เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงที่เชื่อไ ด้ว่า เจ้าหน้าที่รัฐนั้นกระทำการหรือ อนุญาต สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจต่อการบังคับบ ุคคลให้หายสาบสูญ
4. ขอให้ทบทวน ระเบียบ กฎ ที่เอื้อให้มีการบังคับบุคคลให้ หายสาบสูญ โดยเฉพาะกฎหมายที่ให้อำนาจในการ ควบคุมตัวบุคคลไว้เป็นเวลานานแล ะโดยไม่เปิดเผยสถานที่ควบคุมตั วหรือโดยไม่มีการนำตัวไปศาล เช่น คำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2558 รวมทั้งการควบคุมตัวตามกฎหมายพิ เศษอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกฎอัยการศึก พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถ านการณ์ฉุกเฉินฯ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรา มยาเสพติดฯ เป็นต้น
5. ขอให้เร่งดำเนินการตรากฎหมายการ ป้องกันและปราบปรามการทรมานและก ารบังคับให้บุคคลสูญหายอย่างเร่ งด่วน โดยมีเนื้อหาที่สอดคล้องกับอนุส ัญญาต่อต้านการทรมานและการประติ บัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้ ายไร้มนุษยธรรมหรือที่ย่ำยีศั กดิ์ศรี และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้ว ยการคุ้มครองบุคคลจากการหายสาบส ูญ เพื่อสร้างมาตรฐานทางกฎหมายอาญา ในประเทศในการป้องกันการกระทำผิ ดและมีกระบวนการยุติธรรมที่มี ประสิทธิภาพเพื่อนำตัวผู้ กระทำความผิดมาลงโทษ รวมถึงมีมาตรการเยียวยาผู้เสียห ายที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพโด ยเนื้อหาในกฎหมายดังกล่าวควรระบ ุหลักประกันอย่างน้อย ดังต่อไปนี้
5.1 กำหนดให้การทรมานและการบังคับให ้หายสาบสูญเป็นความผิดทางอาญา ฐานความผิดดังกล่าวต้องสอดคล้อง กับนิยามที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาต ่อต้านการทรมานและการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้ายไร้ มนุษยธรรมหรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้ว ยการคุ้มครองบุคคลจากการหายสาบส ูญ
5.2 กำหนดให้การซ้อมทรมานและการบังค ับบุคคลให้สูญหายต้องได้รับการส ืบสวนสอบสวนโดยทันที เป็นกลางและมีประสิทธิภาพโดยต้อ งนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้แม้ ไม่พบตัวหรือไม่พบชิ้นส่วนศพก็ ตาม และต้องตระหนักว่าสิทธิในการรับ ทราบความจริงเกี่ยวกับชะตากรรมข องเหยื่อเป็นสิทธิโดยสมบูรณ์ที่ ไม่อาจปฏิเสธได้
5.3. กำหนดแนวทางการคุ้มครองพยานอย่า งมีประสิทธิภาพและชัดเจนว่าเจ้า หน้าที่ที่ทำหน้าที่คุ้มครองพยา นต้องไม่เป็นเจ้าหน้าที่ในหน่ วยงานเดียวกันหรือใกล้ชิดกับหน่ วยงานที่ถูกกล่าวหาว่าทำการทรมา นหรือบังคับให้หายสาบสูญ เพื่อให้ความมั่นใจว่าผู้กระทำผ ิดจะไม่มีอิทธิพลต่อกลไกการคุ้ มครองพยาน
5.4 กำหนดหลักประกันว่าข้อมูลเกี่ยว กับผู้ถูกจำกัดเสรีภาพต้องถูกเป ิดเผยต่อญาติและทนายความ หรือผู้มีส่วนได้เสียอื่น เพื่อป้องกันการทรมานการบังคับบ ุคคลให้สูญหายหรือทำให้เกิดการค ุมขังในสถานที่ลับ และไม่ควรมีข้อกำหนดที่จะทำให้เ กิดช่องว่างหรือข้อยกเว้นที่เป็ นอุปสรรคต่อการป้องกันการทรมานแ ละการบังคับสูญหายโดยเด็ดขาด
5.5. กำหนดให้องค์ประกอบของคณะกรรมกา รที่เข้ามาทำหน้าที่ในการป้องกั นการทรมานและบังคับบุคคลสูญหาย ต้องมีหลักประกันความเป็นอิสระเ พื่อไม่ให้คณะกรรมการถูกแทรกแซง จากผู้มีอำนาจและผู้มีอิทธิ พลและควรกำหนดให้มีสัดส่วนของภา คประชาสังคมในจำนวนที่สมดุลกั บกรรมการโดยตำแหน่งที่มาจากภาคร ัฐ อีกทั้งต้องพิจารณาถึงการมีส่วน ร่วมของผู้เสียหายและญาติผู้เสี ยหายด้วย
ด้วยความเคารพในสิทธิมนุษยชนและ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (HRLA)
สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (UCL)
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CrCF)
มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน (CRC)
มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการ พัฒนา (HRDF)
ศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา
ศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมช นท้องถิ่น(CPCR)
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (TLHR)
ขบวนการผู้หญิงเพื่อการปฏิรูปปร ะเทศไทย (WeMove)
มูลนิธินิติธรรมส่งแวดล้อม (EnLaw)
มูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ (JPF)
[1] Human Rights Council, Report of the Working Group on Enforced or Involuntary Disappearances, A/HRC/30/38, 10August 2015,P.29
[2] โปรดดู การบังคับบุคคลให้สูญหายในประเท ศไทย โดยมูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภา พ ,2558
[3] โปรดดู รายงาน 1 ปี คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห ่งชาติฉบับที่ 3/2558 : “อำนาจพิเศษ” ในสถานการณ์ปกติจัดทำโดย ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เผยแพร่เมื่อ 1 เมษายน 2559
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น