0
ชำนาญ จันทร์เรือง: ทำไมต้องยกเลิกโทษประหารชีวิต
Posted: 25 May 2016 02:35 AM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)

ทุกครั้งที่มีเหตุความรุนแรงเกิดขึ้น เช่น การทำร้ายชายพิการจนเสียชีวิต หรือการฆ่าข่มขืน ฯลฯ ก็จะมีการปลุกกระแสสังคมให้มีการลงโทษประหารชีวิตผู้กระทำผิดอยู่เสมอ โดยให้เหตุผลว่าเพื่อเป็นลงโทษที่สาสมกับการกระทำความผิดนั้นและเชื่อว่าหากมีการลงโทษประหารชีวิตแล้วจะไม่มีการกระทำความผิดเช่นนั้นเกิดขึ้นอีก ทั้งๆที่มีงานวิจัยมากมายจากนานาประเทศได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโทษประหารชีวิตนั้นไม่มีความเชื่อมโยงใดๆกับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของอาชญากรรมเลย

จากรายงานฉบับล่าสุดของ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวถึงสถานการณ์โทษประหารชีวิตและการประหารชีวิตทั่วโลกในปี 2558 ชี้ว่าตัวเลขการประหารชีวิตเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ สถิติสูงสุดในรอบกว่า 25 ปี นอกจากจีนที่ไม่มีตัวเลขอย่างเป็นทางการแล้วสามประเทศที่ประหารชีวิตมากที่สุดคือ อิหร่าน ปากีสถาน และซาอุดิอาระเบีย แต่อย่างไรก็ตามแนวโน้มประเทศต่างๆ ทั่วโลกต่างกำลังหันหลังให้กับโทษประหารชีวิต ปัจจุบันมี 140 ประเทศหรือมากกว่า 2 ใน 3 ของ ประเทศทั่วโลกได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตทั้งในทางกฎหมายหรือในทางปฏิบัติแล้ว โดยที่ 102 ประเทศที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตสำหรับความผิดอาญาทุกประเภท

สำหรับประชาคมอาเซียนซึ่งประกอบด้วย 10 ประเทศนั้น กัมพูชาและฟิลิปปินส์ ยกเลิกโทษประหารชีวิตสำหรับความผิดทางอาญาทุกประเภท ส่วนลาว พม่า และบรูไน ได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตในทางปฏิบัติ (การที่ยังคงไว้ซึ่งโทษประหารชีวิต แต่ได้ระงับการประหารชีวิตเป็นระยะเวลา 10 ปีติดต่อกัน) ส่วนประเทศไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์และเวียดนามยังคงมีและใช้โทษประหารชีวิตอยู่

ประเทศไทย เมื่อปีที่แล้วมีการตัดสินลงโทษประหารชีวิตอย่างน้อย 7 คน ปัจจุบันข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2559 มีนักโทษประหาร 420 คน ชาย 368 คน หญิง 52 คน เป็นคดียาเสพติด 195 ราย คดีทั่วไป 225 ราย โดยที่ประเทศไทยมีการประหารชีวิตครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2552 ก้าวเข้าสู่ปีที่เจ็ดที่ไม่มีการประหารชีวิต ซึ่งหากไม่มีการประหารชีวิต 10 ปีติดต่อกัน ทางองค์การสหประชาชาติจะถือว่าเป็นประเทศที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตในทางปฏิบัติทันที ซึ่งถือเป็นพัฒนาการที่ดีด้านสิทธิมนุษยชนสำหรับประเทศไทยอีกก้าวหนึ่ง


เหตุผลในการยกเลิกโทษประหารชีวิ

1) การประหารชีวิตเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์คือสิทธิในการมีชีวิตอยู่ ซึ่งมนุษย์ทุกคนพึงได้รับสิทธินี้เสมอกันโดยไม่คำนึงถึงสถานภาพ ชาติพันธุ์ ศาสนา หรือชาติกำเนิด ไม่ว่าจะเป็นคนดี หรือคนไม่ดี เป็นสิทธิที่ไม่อาจพรากไปจากบุคคลได้

2) การประหารชีวิตทุกวิธีก่อให้เกิดความทรมานต่อนักโทษอย่างแสนสาหัส แม้แต่การฉีดยาพิษเข้าสู่ร่างกายก็ตาม

3) กระบวนการยุติธรรมทางอาญาย่อมมีความเสี่ยงที่จะตัดสินผิดพลาด ไม่มีระบบใดที่จะสามารถตัดสินได้อย่างเป็นธรรม สม่ำเสมอ และโดยไม่มีข้อบกพร่อง ที่สำคัญคือการประหารชีวิตที่เกิดขึ้นแล้วไม่สามารถเรียกชีวิตกลับคืนมาได้ แม้ในภายหลังจะมีการสอบสวนว่าผู้ที่ถูกประหารชีวิตนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ก็ตาม

4) นักโทษที่ถูกประหารชีวิตส่วนใหญ่ คือ คนยากจน คนด้อยโอกาสซึ่งไม่สามารถว่าจ้างทนายความที่มีความสามารถเพื่อให้ความรู้และแก้ต่างให้กับตนเองได้ จากงานวิจัยเกี่ยวกับนักโทษประหารชีวิตที่ทำโดย สุมณทิพย์ จิตสว่าง ระบุว่า สถานภาพของนักโทษประหารชีวิตในประเทศไทยเป็นบุคคลที่มีฐานะทางสังคมไม่สูงนัก  ส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับประถม  มีรายได้ไม่เกิน 10,000 บาท การตกเป็นนักโทษประหารชีวิตเนื่องจากสภาพแวดล้มที่กดดันหล่อหลอมให้ก่ออาชญากรรม เช่น การคบเพื่อน การเรียนรู้ทางสังคม มีการควบคุมตัวเองต่ำ รวมทั้งการไม่เกรงกลัวโทษประหารชีวิตในขณะกระทำความผิด กล่าวคือ โทษประหารชีวิตไม่สามารถยับยั้งให้พวกเขาก่ออาชญากรรม แต่พวกเขาจะกลัวโทษที่จะได้รับหลังจากกระทำความผิดแล้ว

5) การประหารชีวิตไม่ได้ยับยั้งอาชญากรรมรุนแรง หรือทำให้สังคมปลอดภัยขึ้น แต่ยังส่งผลกระทบที่เลวร้ายต่อสังคม การที่รัฐอนุญาตให้มีการประหารบุคคลแสดงถึงการสนับสนุนต่อการใช้กำลังและการส่งเสริมวงจรการใช้ความรุนแรง บัน คี มุน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ  กล่าวว่า “ไม่เคยมีใครพิสูจน์ได้เลยว่าโทษประหารชีวิตช่วยยับยั้งอาชญากรรมได้” ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเมื่อเปรียบเทียบ 2 ประเทศ ที่มีลักษณะคล้ายกัน ทั้งจำนวนประชากร การศึกษา ภาวะเศรษฐกิจ คือ สิงคโปร์ ที่ยังมีโทษประหารชีวิต ลงโทษย่างรุนแรง และฮ่องกง ที่ไม่มีโทษประหารชีวิตแล้ว สถิติการก่ออาชญากรรมแทบไม่ต่างกันเลย ถ้าโทษประหารชีวิตสามารถยับยั้งอาชญากรรมได้จริง ตัวเลขการก่ออาชญากรรมของสิงคโปร์จะต้องน้อยกว่าฮ่องกงใช่หรือไม่


แล้วจะทำอย่างไรกับผู้กระทำความผิด

เราควรมีทัศนคติใหม่ต่อผู้ที่กระทำความผิด ไม่ควรคิดว่าพวกเขาเป็นผู้ร้ายที่สมควรได้รับการลงโทษอย่างสาสม แต่ควรคิดว่าพวกเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของผลผลิตทางสังคมเหมือนเช่นเรา และการลงโทษนั้นต้องไม่เป็นไปเพื่อการแก้แค้นทดแทนแต่ต้องเป็นไปเพื่อการแก้ไขเยียวยา เพราะการที่พวกเขากระทำความผิดย่อมหมายถึงบางสิ่งบางอย่างในสังคมของเราทำหน้าที่ผิดเพี้ยนไป สิ่งที่เราควรที่จะคิดกระทำไม่ใช่การกำจัดพวกเขาให้ออกไปจากสังคม แต่เราควรที่จะคิดหาต้นตอของปัญหา ฟันเฟืองที่ทำงานผิดพลาดเพื่อหาวิธีการแก้ไข

แน่นอนว่าสิ่งที่บุคคลเหล่านั้นกระทำถือว่าเป็นความผิด สิ่งที่รัฐจะต้องกระทำอย่างเร่งด่วนคือ การนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งกระบวนการยุติธรรมจะต้องโปร่งใส รวดเร็ว แม่นยำและเท่าเทียมกัน จะต้องไม่มีการปล่อยคนผิดลอยนวล ยิ่งกระบวนการยุติธรรมเป็นธรรมและรวดเร็วเท่าไรยิ่งถือได้ว่าเป็นการเยียวยาเหยื่อหรือผู้เสียหายได้มากเท่านั้น

ส่วนการเรียกร้องให้มีการประหารชีวิตบุคคลที่มีพฤติกรรมเลวร้ายเหล่านั้น ขณะเรื่องราวที่ยกตัวอย่างมาในตอนต้นกระแสเริ่มซาลง อยากให้ทุกคนกลับมาใช้สติและเหตุผลในพิจารณาเรื่องนี้ให้มากขึ้นอีกครั้ง แน่นอนทุกคนโกรธและเกลียด บางคนอาจจะขยะแขยงในสิ่งที่คนเหล่านั้นกระทำต่อเหยื่อหรือผู้เสียหาย

เมื่อเราโกรธและเกลียดในสิ่งที่พวกเขากระทำ เราก็ไม่ควรทำแบบเดียวกับที่พวกเขาทำ เพราะไม่เช่นนั้นเราก็คงไม่ต่างไปจากพวกเขา คือ “การเป็นอาชญากร” ดีๆ นี่เอง  เพียงแต่เราไม่ได้ลงมือฆ่าคนด้วยตนเอง  แต่มอบหมายหน้าที่นั้นให้กับเพชฌฆาตเป็นผู้ทำหน้าที่ “ฆ่า”แทนเราเท่านั้นเอง


หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันพุธที่ 25 พ.ค.59

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

 
Top