สุรพศ ทวีศักดิ์: มายาคติของ “ศาสนา ศีลธรรม” แบบไทย
Posted: 17 May 2016 11:27 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
ในสังคมอารยะอย่างไทยนั้น เรามีสิ่งสูงส่งดีงามที่มี ความละเอียดอ่อนเป็นเอกลักษณ์ ของตัวเอง ทำให้เราต้องมีการใช้อำนาจพิเศษ มีกฎหมายและการบังคับใช้ กฎหมายที่ขัดหลักการพื้ นฐานประชาธิปไตยและละเมิดหลักสิ ทธิมนุษยชนสากล นี่อาจเป็นเรื่องที่สังคมโลกไม่ เข้าใจเรา เพราะเขาไม่มีอารยะ ไม่มีความละเอียดอ่อนเหมือนเรา เป็นหน้าที่ของเราคนไทยที่ต้ องอธิบายให้เขาเข้าใจ
ไม่ใช่เพียงผู้มีอำนาจในรัฐบาล คสช.เท่านั้นที่มองสังคมตั วเองและสังคมอื่นเช่นนั้น ปราชญ์พุทธศาสนาไทยก็เคยมองว่า “ศีลธรรมแบบฝรั่งเป็นศี ลธรรมแบบเทวบัญชา มีลักษณะเป็นพันธะหรือ obligation ที่บังคับให้คนต้องทำตาม ศีลธรรมจึงเป็นเรื่ องของความจำใจ จำยอม ไม่มีเสรีภาพหรืออิสระที่จะเลื อกแบบศีลธรรมพุทธศาสนา” นอกจากนี้ท่านยังมองว่า “ถ้ามนุษย์หมู่มากมีศีล 5 สิทธิมนุษยชนก็ไม่จำเป็น”
เป็นเรื่องแปลกประหลาดสำหรั บผมที่เกิด เติบโต และเรียนหนังสือในเมื องไทยมาตลอด แต่สามารถเข้าใจได้ว่า สังคมตะวันตกที่เขาอ้างว่า การมีเสรีภาพ ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชนเป็นเครื่องหมายของ “ความเป็นอารยะ” นั้น มันมีความหมายว่าสิ่งที่บ่ งบอกความเป็นอารยะคือการมี ระบบการปกครอง ศีลธรรม กฎหมาย และการบังคับใช้กฎหมายที่เคารพ “ความเป็นมนุษย์” ของประชาชน
แต่ไม่สามารถเข้าใจได้ว่า สังคมไทยที่มีความเป็ นอารยะและละเอียดอ่อนมากกว่ าเขานั้น ทำไมจึงปกป้องความเป็นอารยะนั้ นด้วยการมีระบบการปกครอง มีระบบศีลธรรม กฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายที่ ละเมิดความเป็นมนุษย์ของประชาชน
มุมมองความเป็นอารยะของตั วเองเช่นนี้เกิดขึ้นและดำรงอยู่ ในสังคมไทยมายาวนานได้อย่างไร? เมื่อพิจารณาทัศนะทางศี ลธรรมของปราชญ์พุทธศาสนาข้างต้น ทำให้เกิดคำถามต่อไปว่า หรือว่ามูลเหตุอาจมาจากมายาคติ เรื่องศาสนาและศีลธรรมแบบไทยที่ ยึดถือกันมายาวนาน
เราถูกปลูกฝังให้เชื่อว่า ศีลธรรมมาจากศาสนา และศาสนาที่สร้างรากฐานศี ลธรรมสำหรับสังคมไทยก็คือพุ ทธศาสนา แต่ถ้ามองจากมุมมองอื่น เช่นมุมมองแบบค้านท์ (Immanuel Kant) ศีลธรรมเป็นคนละเรื่องกับศาสนา การที่คุณทำตามกฎศาสนา หรือคำสั่งของพระเจ้า หรือทำตามอิทธิพลความเชื่ อทางศาสนา และประเพณีแบบใดๆ ย่อมไม่ใช่การกระทำที่มีค่าเป็ นความดีทางศีลธรรม เพราะนั่นเป็นการกระทำที่มีเงื่ อนไขกำหนดให้คุณต้องทำ ไม่ใช่การกระทำที่เกิดจากเหตุ ผลและเสรีภาพของตนเอง
เมื่อคุณบริจาคมากเพื่อจะได้บุ ญมาก ทำความดีเพื่อจะไปสวรรค์ หรือหวังรางวัลตอบแทนใดๆ หรือกระทำเพื่อบรรลุจุดมุ่ งหมายใดๆ หรือมีจุดหมายใดๆ เป็นตัวกำหนดหรือเป็นเงื่ อนไขให้คุณต้องกระทำ การกระทำนั้นๆ ก็เป็นเพียง “พฤติกรรม” ปกติทั่วไปเท่านั้น ไม่ต่างอะไรกับการกินข้าวที่ ความหิวเป็นเงื่อนไขกำหนดให้คุ ณต้องกิน หรือการทำความดีเพื่อหวังผลก็ ไม่ต่างอะไรกับการทำธุรกิจ แน่นอน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่มันไม่ใช่สิ่งที่จะถือว่ามี ค่าเป็น “ความดีทางศีลธรรม” ได้เลย
ฉะนั้น ค้านท์จึงเสนอให้เราแยกพฤติ กรรมทั่วๆไป ที่ถูกกำหนดโดยเงื่อนไขต่างๆ กับ “การกระทำที่มีศีลธรรม” ให้ชัดเจน การกระทำที่จะมีศีลธรรมหรือมีค่ าเป็นความดีทางศีลธรรมได้ ต้องเกิดจากเหตุผลของตนเองบอกว่ าอะไรคือความถูกต้องและใช้เสรี ภาพเลือกกระทำสิ่งที่ถูกต้องนั้ นด้วยตนเอง เพราะถือว่าสิ่งที่ถูกต้องนั้ นเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ แต่การกระทำ(หรือกฎ กติกา)อะไรก็ตามที่จะเป็นความถู กต้องได้นั้นต้องอยู่บนพื้ นฐานของการเคารพ “ความเป็นมนุษย์” ของทุกคนอย่างเสมอภาค ความเป็นมนุษย์ก็คือความเป็นสั ตที่มีเหตุผล อิสรภาพและมีจุดหมายหรือศักดิ์ ศรีในตัวเอง
แปลว่า เราจะมีศีลธรรมได้เราต้องมองตั วเองและคนอื่นๆ ผ่านเปลือกนอกต่างๆ เช่นชาติพันธุ์ เพศ ผิว ศาสนา วัฒนธรรมฯลฯ ทะลุไปถึงความเป็นมนุษย์ที่ “pure” ซึ่งเป็นความเป็นมนุษย์ที่ทุ กคนมีเหมือนกันอย่างสากล คือความเป็นสัตที่มีเหตุผล เสรีภาพ มีจุดหมายหรือศักดิ์ศรีในตั วเองอย่างเสมอภาค
แน่นอนว่าข้อเท็จจริงเรื่องชาติ พันธุ์ เพศ ผิว เป็นต้น อาจจำเป็นต่อการทำความเข้ าใจความแตกต่างส่วนบุคคล แต่มันไม่อาจใช้เป็ นรากฐานของการกำหนดหลักการทางศี ลธรรม เพราะหลักการทางศีลธรรมไม่ใช่สิ ่งที่กำหนดขึ้นจาก “ข้อเท็จจริง” เช่นถ้าข้อเท็จจริงคือชนชั้ นนำไทยไม่ชอบเสรีภาพและสิทธิมนุ ษยชนสากล เราไม่สามารถกำหนดเป็นหลั กการทางศีลธรรมได้ว่า การปฏิเสธเสรีภาพและสิทธิมนุ ษยชนสากลคือการกระทำที่เป็ นความถูกต้องหรือเป็นความดี ทางศีลธรรม
เพราะอะไรที่จะเป็นหลักการทางศี ลธรรมได้ ต้องอธิบายด้วยเหตุผลได้ว่ามั นสามารถเป็นหลักการสากลได้ และสิ่งที่จะเป็นหลักการสากลได้ มันต้อง “fair” กับทุกคน ด้วยเหตุนี้การกระทำใดๆ หรือหลักการ กติกาใดๆ ที่จะมีความหมายเป็นความดีทางศี ลธรรมได้จึงต้องกำหนดขึ้ นจากการเคารพ “ความเป็นมนุษย์” คือความเป็นสัตที่มีเหตุผล เสรีภาพ มีจุดหมายหรือศักดิ์ศรีในตั วเองอย่างเสมอภาค
มันไม่เกี่ยวกับว่าความเป็นมนุ ษย์ในความหมายดังกล่าวเป็นข้ อเท็จจริงเชิงประจักษ์หรือไม่ เพราะตามข้อเท็จจริงเชิงประจั กษ์มนุษย์อาจไม่มีเหตุผล ไม่มีเสรีภาพ ไม่มีความเสมอภาค แต่มีความเหลื่อมล้ำในด้านต่ างๆมาก และในชีวิตประจำวันเราก็อาจไม่ ได้ถูกปฏิบัติอย่างเคารพศักดิ์ ศรีความเป็นคนอย่างเสมอภาคกัน แต่เพราะข้อเท็จจริงเป็นแบบนี้ แหละมันจึงเป็นรากฐานของศี ลธรรมไม่ได้ เราจึงต้องมองทะลุข้อเท็จจริ งไปถึง “ความเป็นมนุษย์บริสุทธิ์” คือมองว่าทุกคนเป็นสัตที่มีเหตุ ผล เสรีภาพเป็นต้นดังกล่าว เพื่อเป็ นรากฐานในการกำหนดการกระทำหรื อกติกาทางสังคมใดๆที่สามารถอธิ บายได้ว่ามันแฟร์สำหรับทุกคน และนั่นมันจึงเป็นศีลธรรมได้
ศีลธรรมจึงเป็นสิ่งที่เราแต่ ละคนร่วมกันสร้างขึ้นจากเหตุ ผลและเสรีภาพของเราเอง และสร้างมันขึ้ นบนการเคารพความเป็นมนุษย์ ของตนเองและคนอื่นเท่าเทียมกัน ด้วยเหตุนี้ศีลธรรมจึงไม่ผูกติ ดกับศาสนา ตรงกันข้ามศาสนาอาจไม่มีศีลธรรม หากเป็นศาสนาที่ไม่เคารพความเป็ นมนุษย์
ฉะนั้น การกระทำใดๆ ที่ลดทอนความเป็นมนุษย์ เช่นการละเมิดเสรีภาพจึงเป็ นการกระทำที่ผิดศีลธรรม นักเสรีนิยมสายค้านท์ถือว่าสิ ทธิและเสรีภาพเป็นสิ่งที่มีค่ าในตัวมันเอง ยืนยันกระทั่งว่า รัฐจะบังคับยัดเยียดคุณค่าหรื อความเชื่อเกี่ยวกับการมีชีวิ ตที่ดีใดๆ แก่ประชาชนไม่ได้ เช่นจะบังคับเรียนเพื่อปลูกฝั งศีลธรรมศาสนาในโรงเรียนไม่ได้ รัฐต้องเป็นกลางทางคุณค่า มีหน้าที่รักษาสิทธิเป็น “กติกากลาง” ให้ปัจเจกบุคคลมีสิทธิเท่าเที ยมในความมีอิสระที่จะเลือกสิ่ งที่ดี, คุณค่าหรืออุดมคติใดๆสำหรั บตนเองก็ได้ ตราบที่เขายังเคารพสิทธิเดียวกั นนี้ของคนอื่น
ที่ปราชญ์พุทธศาสนาบ้านเรากล่ าวว่าศีลธรรมแบบฝรั่งเป็นศี ลธรรมแบบบังคับ จำยอม ก็อาจจะถูกหากหมายเฉพาะศี ลธรรมภายใต้อำนาจศาสนจักรยุ คกลาง แต่ถ้าหมายถึงศีลธรรมตั้งแต่ยุ คสว่างถึงยุคสมัยใหม่เป็นต้นมา นักปรัชญาสมัยใหม่ล้วนคิดคล้ ายกับค้านท์ คือศีลธรรมจะมีได้ก็ต่อเมื่อมี เสรีภาพ หรือพูดให้ตรงคือ ศีลธรรมเป็นเรื่องของการต่อสู้ เพื่อเสรีภาพและการปกป้ องความเป็นมนุษย์ ฉะนั้นค้านท์จึงต้อนรับเหตุ การณ์ปฏิวัติประชาชนในฝรั่ งเศสด้วยน้ำตาแห่งความปลื้มปีติ
ว่าแต่ศาสนา ศีลธรรมที่เป็นรากฐานของการตั ดสินเรื่องถูกผิดในสังคมไทยพ้ นไปจากทัศนะทางศีลธรรมแบบยุ คกลางแล้วหรือยัง? ทำไมเรายังต้องมี ระบบการปกครองและกฎหมายที่ละเมิ ดเสรีภาพเพื่อปกป้องความเป็ นอารยะแบบเรา ทำไมจึงต้องมีกฎหมายรัฐธรรมนู ญป้องกันการบ่อนทำลายศาสนา และอื่นๆ ที่ล้วนมีลักษณะขัดหลักเสรี ภาพและลดทอนความเป็นมนุษย์ ของประชาชน
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น