เชิญพลเมืองเรียนกฎหมายอาญา กรณี ‘จ้า’ แม่จ่านิวนับเป็น ‘ตัวการร่วม’ ม.112 หรือไม่?
Posted: 13 May 2016 06:07 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
‘จ้า’ กลายเป็นคำยอดนิยมภายในพริบตา พร้อมกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่ างหนักต่อกรณีดำเนินคดี ‘แม่จ่านิว’ หลังมีการออกหมายจับเธออย่ างกระทันหันและมีการนำตั วไปฝากขังยังศาลทหาร จากนั้นไม่นาน ตำรวจออกมาแถลงข่าวว่าข้อความที ่เป็นความผิด ‘ไม่ได้มีเพียงคำว่า จ้า’ มีมากกว่านั้นแต่บอกไม่ได้ว่าคื ออะไร และบอกไม่ได้เช่นกันว่าเข้าถึ งข้อมูลได้อย่างไร
ข้อหาของเธอคือ ร่วมกันกระทำความผิดตามมาตรา 112 และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิ วเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิด เกี่ยวกับความมั่นคงแห่ งราชอาณาจักร ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (3)
อย่างไรก็ตาม ในเอกสารของพนักงานสอบสวน คำยืนยันของทนายความ และหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนที่ เข้าสังเกตการณ์การสอบคำให้ การผู้ต้องหาพบว่า มีการบรรยายความผิดของแม่จ่านิ วเพียงการตอบรับข้อความของนายบุ รินทร์คู่สนทนาว่า “จ้า” เพียงเท่านั้น
“บทสนทนาดังกล่าว นายบุรินทร์ฯ ซึ่งใช้งานบัญชี facebook ของ Burin Intin ได้ลงข้อความเนื้อหาหมิ่ นพระบรมเดชานุภาพอย่างชัดเจน โดยระหว่างที่พูดคุยกัน นายบุรินทร์ฯ ใช้คำว่า “อย่าว่าผมนะที่คุยแบบนี้” แต่ผู้ที่ใช้ชื่อว่า Nuengnuch Chankij ตอบกลับด้วยคำว่า “จ้า” ย่อมแสดงให้เห็นว่ายอมรับและเห็ นด้วยกับการโพสต์ข้ อความของนายบุรินทร์ฯ ดังนั้น พฤติกรณ์และการกระทำของผู้ใช้ งานบัญชี facebook ชื่อ Nuengnuch Chankij จึงมีส่วนร่วมกับนายบุรินทร์ฯ ในการโพสต์ข้อความที่มีเนื้ อหาหมิ่มประมาท.......ซึ่งหากผุ ้ที่ใช้ชื่อว่า Nuengnuch Chankij ไม่เห็นด้วยกับการโพสต์ข้ อความของนายบุรินทร์ฯ ก็ย่อมต้องห้ามปรามหรือตำหนิ ต่อว่าให้หยุดกระทำการดังกล่าว แต่กลับตอบรับด้วยคำว่า “จ้า” ซึ่งหมายถึงการยอมรับ”
(ที่มา https://tlhr2014.wordpress. com/2016/05/06/janew_mom_chat_ fb_112/)
(ที่มา https://tlhr2014.wordpress.
คำถามสำคัญของเรื่องนี้คือ
1.หากข้อความมีเพียง “จ้า” ตำรวจฟ้องแม่จ่านิวในฐานะ “ตัวการร่วม” (ข้อหา ร่วมกันกระทำความผิด) ได้หรือไม่
1.หากข้อความมีเพียง “จ้า” ตำรวจฟ้องแม่จ่านิวในฐานะ “ตัวการร่วม” (ข้อหา ร่วมกันกระทำความผิด) ได้หรือไม่
2.เห็นการกระทำความผิดแล้วไม่ห้ ามปราม ไม่ตำหนิ ถือเป็นการร่วมกระทำความผิดหรื อไม่
3.เป็นไปได้หรือไม่ที่ข้อความที ่กระทำผิดจะมีมากกว่าคำว่า “จ้า” ดังที่ตำรวจแถลง
4.การสนทนาในพื้นที่ส่วนตัวเป็ นความผิดได้หรือไม่
0000000
‘ตัวการร่วม’ รับโทษเท่ากับผู้กระทำผิด
สาวตรีอธิบายว่ าในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ระบุถึงตัวการร่วม คือ คนที่ร่วมกันกระทำความผิด ตั้งแต่สองคนขึ้นไป ตัวการร่วมจะได้รับโทษเท่ากับผู ้กระทำความผิด บทบัญญัตินี้ใช้กับทุกฐานความผิ ด เพราะเป็นบททั่ วไปในประมวลกฎหมายอาญา
หลักเกณฑ์ของตัวการร่วม “ร่วมมือ+ร่วมใจ”
แล้วมีหลักเกณฑ์อย่างไรจึงจะถื อว่าเป็นตัวการร่วม สาวตรีอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ว่า ต้องมีลักษณะของการร่วมมือและร่ วมใจกันระหว่างผู้ร่ วมกระทำความผิด
‘ร่วมมือ’ ในทางกฎหมายมีการอธิบายว่าเกิ ดขึ้นได้หลายลักษณะ มีทั้งกรณีที่ลงมือกระทำความผิ ดไปด้วยกันเลย เช่น คนหนึ่งตีหัว อีกคนหนึ่งตีขา ในความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่ างกายหรือฆ่าผู้อื่น และบางกรณีก็เป็นการแบ่งหน้าที่ กันทำ ซึ่งการกระทำของตัวการร่ วมบางคนอาจยังไม่ได้เป็นความผิ ดได้ในตัวเอง เช่น A ปีนเข้าไปลักทรัพย์ในบ้าน ในขณะที่ B ทำหน้าที่คอยยืนดูต้นทางให้ กรณีนี้แม้การกระทำของ B โดยลำพังจะยังเป็นความผิดไม่ได้ แต่เมื่อรวมกับการกระทำลักทรั พย์ของ A แล้ว B ก็เข้าข่ายเป็นตัวการร่วมได้ อย่างไรก็ตาม เพียงแต่พฤติการณ์การร่วมมืออย่ างเดียว ยังสรุปไม่ได้ว่า ผู้นั้นเป็นตัวการร่ วมตามกฎหมายแล้ว เพราะต้องปรากฏว่าเขา “ร่วมใจ” ด้วย
‘ร่วมใจ’ ในทางกฎหมายก็คือ บุคคลที่เป็นตัวการร่วมนั้น เมื่อรู้ว่าจะมี การไปกระทำความผิดเกิดขึ้น เขาก็ประสงค์จะร่วมกระทำไปด้วย หรือถือเอาการกระทำของผู้ กระทำความผิดคนอื่น ๆ นั้นเป็นเสมือนการกระทำของตั วเขาเอง เช่น เมื่อ A บอก B ว่ากำลังจะไปฆ่าคนหรือลักทรัพย์ B ต้องการร่วมกระทำ แม้ A จะให้เขาทำแค่เพียงหน้าที่ดูต้ นทางให้ก็ตาม แต่ในระหว่างที่ A เข้าไปลักทรัพย์นั้น B ก็ถือว่าการกระทำของ A ก็คือการกระทำของ B ด้วย กรณีแบบนี้จึงจะถือว่า B มีการร่วมใจ
การจะถือว่าบุคคลใดบุคคลหนึ่ งเป็น ‘ตัวการร่วม’ ตามมาตรา 83 ได้ จำเป็นต้องมีครบทั้ง 2 สิ่ง ถ้ามีแต่เพียงการร่วมมือ หรือร่วมลงมือกระทำ แต่ผู้นั้นไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ ไปร่วมกระทำกับเขาอยู่นั้นเป็ นความผิด กรณีนี้แบบนี้ย่อมถือว่ามีการ “ร่วมใจ” ไม่ได้ (เช่น A หลอก B ว่า จะไปเอาทรัพย์ซึ่งเป็นของ A คืนมา แต่จริง ๆ แล้วเป็นทรัพย์ของคนอื่น เป็นต้น) หรือในทางกลับกัน แม้จะอยากร่วมกระทำความผิดด้วย แต่เมื่อถึงเวลามี การกระทำความผิดจริง ๆ กลับไม่ได้ร่วมลงมือทำอะไรกั บคนอื่น ๆ เลย แบบนี้ย่อมขาดองค์ประกอบในส่ วนของการ “ร่วมมือ” ไป ไม่ถือว่าเป็นตัวการร่วม
ภาพจาก iLaw
เห็นการกระทำผิดแล้ว ‘ไม่ห้าม’ ไม่นับเป็นความผิด
คำถามว่าการไม่ห้ามปราม ตำหนิ ของแม่จ่านิวนั้นทำให้กลายเป็ นความผิดฐานเป็นตัวการร่วมไหม
สาวตรีตอบว่า ในทางกฎหมายนั้นการจะตี ความอะไรที่เป็นผลร้ายกับบุ คคลให้เขาต้องรับโทษนั้นต้ องระมัดระวังอย่างยิ่ง ในเรื่องผู้กระทำความผิดหลาย ๆ คนนี้ มีตำราคำอธิบายกฎหมายอาญาอยู่ ฉบับหนึ่ง อธิบายว่า การแค่เพียงเห็นบุคคลอื่นกำลั งกระทำความผิดอยู่ แล้วไม่ได้เข้าขัดขวาง หรือนิ่งเฉย ยังถือไม่ได้ว่าเป็น ‘ผู้สนับสนุน’ ที่จะต้องรับผิ ดตามกฎหมายอาญาแล้ว เพราะการจะเป็นผู้สนับสนุนได้นั ้น นอกจากต้องมีเจตนาสนับสนุ นการกระทำแล้ว ต้องมีพฤติการณ์ของการ “ให้ความสะดวก หรือช่วยเหลือ” การกระทำความผิดนั้นด้วย “เช่นนี้แล้วจะนับประสาอะไรกั บการเป็น “ตัวการร่วม” ที่มีโทษหนักยิ่งกว่าการเป็นผู้ สนับสนุน (ผู้สนับสนุนจะรับโทษเพียงแค่ 2 ใน 3 ของความผิดที่เกิดขึ้น)
“ดังนั้น เพียงแค่การรู้ว่ามันจะมี การกระทำความผิดเกิดขึ้น และแสดงอาการของการรับรู้รั บทราบ กระทั่งอาจนิ่งเฉยหรือไม่ แสดงอาการห้ามปราม โดยไม่มีข้อเท็จจริงอื่นใดว่ าเขาร่วมใจ หรือร่วมลงมือทำอะไรด้วย ย่อมไม่เข้าองค์ประกอบของการเป็ นตัวการร่วมได้” สาวตรีกล่าว
สาวตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า อย่างไรก็ตามกฎหมายอาญานั้น ‘การนิ่งเฉย’ อาจทำให้เป็นความผิดได้เช่นกัน คือ กรณีที่ผู้นั้นมีหน้าที่ต้องป้ องกันผลที่จะเกิดขึ้น แล้วไม่ยอมทำหน้าที่ เรียกว่ากระทำความผิดด้วยการ “งดเว้น” ยกตัวอย่างเช่น พ่อแม่มีหน้าที่เลี้ยงดูบุตร สมมตินาง A คลอดลูกออกมา นาง A มีหน้าที่ตามกฎหมายว่าต้องเลี้ ยงดูทารกนั้นให้อยู่รอด ให้อาหาร ให้นม หากปรากฏว่าเธอไม่ให้ กลับนิ่งเฉยไม่ทำหน้าที่ โดยตั้งใจให้ลูกอดอาหารตาย กรณีนี้ แม้นาง A จะไม่ได้ลงมือฆ่าลูกของเธอเอง ด้วยการกระทำบางอย่างเช่น อุดปาก หรือเอาไปทิ้งน้ำ นาง A ก็มีความผิดฐานฆ่าคนตายอยู่ดี แต่เป็นการฆ่าด้วยการงดเว้น เพียงแต่บุคคลนั้นต้องมีหน้าที่ เสียก่อน ซึ่งต้องหมายเฉพาะ 1) หน้าที่ตามกฎหมาย เช่น พ่อแม่มีหน้าที่เลี้ยงดูบุตร บุตรมีหน้าที่เลี้ยงดูบิดามารดา 2) หน้าที่ตามสัญญา เช่น รับจ้างดูแลสระว่ายน้ำ ปรากฏว่ามีคนจมน้ำตายในสระ โดยตนปล่อยปละเลยไม่ดูแล หรือเห็นแล้วไม่เข้าไปช่ วยตามหน้าที่ 3) หน้าที่ตามความสัมพันธ์พิเศษ เช่น ไม่ใช่พ่อแม่ แต่เขาเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เล็ก ๆ เป็นผู้ปกครองตามความเป็นจริง แต่เรากลับไม่เลี้ยงเขา พอแก่เฒ่าก็ปล่อยให้ตาย เป็นต้น และ 4) หน้าที่จากการกระทำครั้งก่อน ๆ ของตน เช่น อาสาพาคนตาบอดข้ามถนน แต่พอมีรถวิ่งมากลับปล่อยเขาทิ้ งไว้กลางถนน หนีเอาตัวรอด มีรถมาชนเขาตายแบบนี้คนพาข้ ามถนนก็ผิดฐานฆ่าเพราะงดเว้นได้ เหมือนกัน ซึ่งกรณีเหล่านี้ ก็มีตัวการร่วม หรือผู้สนับสนุนด้วยการงดเว้ นได้ เช่น นาง A คลอดลูก แต่นาย B สามีไม่ต้องการ จึงเอามืออุดปากเด็ก นาง A เห็นเช่นนั้นก็ยังนิ่งเฉย ไม่ขัดขวาง หรือห้ามปราม เพราะในใจก็ต้องการให้ลูกตายเช่ นกัน แบบนี้นาง A ก็เป็นตัวการร่วมกับนาย B ได้ เป็นต้น
“ทีนี้คำถามก็คือ ชื่อเสียง เกียรติยศของบุคคล หรือตำแหน่งในมาตรา 112 นั้น ปกติแล้วคนธรรมดาทั่วไปมีหน้าที ่ต้องคอยป้องกันไม่ให้ใครก็ ตามมาล่วงละเมิดหรือไม่ ถ้าให้ตอบตาม “หลักกฎหมาย” ปัจจุบันก็คือ ไม่มี เพราะ “หน้าที่ในการป้องกันผล” ที่จะทำให้เข้าข่าย “งดเว้น” ได้นั้น หมายเฉพาะหน้าที่ 1 ใน 4 ประเภทตามที่กล่าวไปแล้วเท่านั้ น ปัจจุบันไม่มีกฎหมายกำหนดว่ าคนไทยทุกคนต้องป้องกัน ห้ามปราบ หรือหยุดยั้งไม่ให้ใครมากล่ าวจาบจ้วงหรือล่วงละเมิดสถาบันฯ นอกจากนี้เรายังไม่ได้จับให้ คนไทยทำสัญญาอะไรให้ต้องทำเช่ นนั้น และทั้งหน้าที่จากความสัมพันธ์ พิเศษก็ตีความไปไม่ถึง เพราะฉะนั้น ความผิดในเรื่องนี้ จึงย่อมไม่มีการกระทำความผิดด้ วยการงดเว้นอย่างแน่นอน จะผิดได้ผู้กระทำความผิด หรือตัวการร่วม ต้องออก action ตามกฎหมายเท่านั้น คือ ดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้าย โดยคุณจะร่วมกันทำเช่นนั้นด้ วยกันเลย หรือแบ่งหน้าที่กันทำก็สุดแท้ แต่ ถ้าตำรวจไทยจะไปไกลถึงขนาดที่ว่ าเมื่อมีใครมาเล่า หรือพูดอะไรในลักษณะนี้ให้เราฟั งแล้วเรานิ่งฟัง ไม่ห้ามปรามเขา แล้วเป็นความผิดมาตรา 112 ด้วย ในฐานะนักกฎหมายอาญา ก็ต้องพูดว่าถือเป็นการตี ความกฎหมายที่ออกจะมั่ว และขัดหลักการทางอาญาอย่างชนิ ดเป็นไปไม่ได้” สาวตรีกล่าว
การพูดคุยกันส่วนตัว 2 คน ผิด 112 ได้ แต่ผิดได้คนเดียว
สาวตรีกล่าวว่าเมื่อเป็นการพู ดคุยส่วนตัวกัน 2 คน เป็นไปไม่ได้ที่ทั้ง 2 คนจะมีความผิดด้วยกัน หรือเป็นตัวการร่วมกัน เพราะการหมิ่นประมาทผู้อื่นนั้น (หมายถึงการหมิ่นประมาททุก ๆ คน ไม่เฉพาะ 112) จะเข้าข่ายเป็นความผิดได้ต้องมี องค์ประกอบสำคัญอย่างน้อย 3 ประการ คือ 1) มีการใส่ความ หรือกล่าวร้ายเหยื่อด้วยข้อเท็ จจริง 2) การใส่ความนั้นได้กระทำต่อ “บุคคลที่สาม” กล่าวคือ ต้องมีบุคคลที่สาม ซึ่งหมายถึง บุคคลอื่นใดนอกเหนือจากผู้ กระทำความผิด และผู้ถูกใส่ความหรือเหยื่อเอง และ 3) เป็นการใส่ความที่ระบุเจาะจงตั วคนถูกใส่ความได้ว่าหมายถึงใคร ต้องครบทั้งสามองค์ประกอบนี้ ความผิดฐานหมิ่นประมาทจึงจะเกิ ดได้
“ฉะนั้นถ้าพิจารณาจากเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นล่าสุด กรณีที่มีการสนทนากันใน inbox ของ facebook ซึ่งต้องถือว่าเป็นพื้นที่ส่ วนตัว และเขาคุยกันแค่ 2 คน หากตำรวจตั้งข้อหากับคุณบุริ นทร์ว่าเป็นผู้กระทำความผิ ดตามมาตรา 112 แล้ว ตำรวจจะตั้งข้อหาเดียวกันนี้กั บคุณแม่ของจ่านิวไม่ได้ เพราะไม่เช่นนั้น “ใคร” คือบุคคลที่สาม การพูดคุยกันเพียงสองคน ทั้งยังถูกหาว่าเป็น “ผู้กระทำความผิดด้วยกันทั้งคู่ ” (ตัวการร่วม) ในความผิดฐานนี้เกิดขึ้นไม่ได้ ที่ถูกต้องคือ หากตั้งข้อหาคุณบุรินทร์แล้ว คุณแม่จ่านิวต้องอยู่ในสถานะของ “บุคคลที่สาม” เพื่อให้ข้อหาของคุณบุรินทร์ ครบองค์ประกอบความผิด แต่ถ้าจะตั้งข้อหากับคุณแม่จ่ านิว ก็ต้องหมายความว่าคุณบุรินทร์ เป็นแค่เพียง “บุคคลที่สาม” หรือผู้รับรู้ข้อความ แต่ทั้งคู่เป็นตัวการร่วมกั นในความผิดฐานหมิ่นประมาทที่ไม่ ปรากฏบุคคลที่สามไม่ได้” สาวตรีกล่าว
ตำรวจเข้ามาเห็นแชท นับเป็นบุคคลที่ 3 ไม่ได้
แล้วตำรวจสามารถอ้างได้ไหมว่า ตำรวจคือบุคคลที่ 3 เพราะว่าเขาเข้ามาเห็นบทสนทนานี ้ สาวตรีตอบคำถามนี้ว่า ไม่ได้ เพราะความผิดอาญาในฐานนี้ ผู้กระทำทุกคนต้องกระทำไปโดยมี “เจตนา” กล่าวคือ รู้ว่าสิ่งที่ตนเองทำอยู่นั้นคื อการใส่ความบุคคลอื่น และทั้งต้องรู้ด้วยว่ากำลังใส่ ความต่อ “บุคคลที่สาม” เมื่อเขาพูดคุยกันในพื้นที่ส่ วนตัว และทั้งพื้นที่แบบนี้ไม่มี ใครคาดหมายได้ว่าจะมี “คนอื่น” มาอ่าน หรือมาเห็นได้ แสดงว่าเขาย่อมไม่มีเจตนาที่ จะทำความผิดฐานหมิ่นประมาท
ยกตัวอย่างเช่น A เรียก B พนักงานคนหนึ่งเข้ามาในห้ องทำงานส่วนตัว เพื่อต่อว่าว่า B ทำงานห่วย ไม่ได้เรื่อง ทำให้บริษัทเสียหาย โดยมั่นใจว่า ไม่มีพนักงานคนอื่นมาได้ยิน ปรากฏว่า C มาแอบฟัง กรณีนี้จะหาว่า A มีเจตนาใส่ความ B ให้ C ฟัง ย่อมไม่ได้ ดังนั้น แม้ตำรวจอยากจะอ้างตนเองเป็นบุ คคลที่สาม แต่กรณีนี้ ย่อมเป็นการ “ขาดเจตนา” และไม่มีความผิดได้อยู่ดี เพราะตำรวจแอบเข้าไปรับรู้ข้ อความระหว่างสองคนโดยที่วิญญู ชนทั่วไปคาดหมายไม่ได้
คำถามเพิ่มเติม
หากเปรียบเทียบกันกับคดีที่คนขั บแท๊กซี่พูดคุยกับผู้โดยสาร พื้นที่ส่วนตัวก็คือในรถ แล้วผู้โดยสารแอบอัดเทปเอาไปฟ้ อง อย่างนี้เทียบเคียงกันได้ไหม เรื่องนี้สาวตรีตอบว่า กรณีคดีของแท็กซี่นั้นเข้าองค์ ประกอบความผิด เพราะผู้โดยสารนั่นเอง คือบุคคลที่ 3 และเขาก็แค่หาหลักฐานเอาไปฟ้ องคดี
ประเด็นความเป็นส่วนตัวกั บความเป็นสาธารณะจะถูกพิ จารณาในทางกฎหมายไหม และการเข้าถึงพื้นที่ส่วนบุ คคลของตำรวจเป็นประเด็ นในทางกฎหมายไหม
สาวตรีตอบว่า เจ้าหน้าที่เขาอ้างได้เพราะมั นมีกฎหมายพิเศษ พ.ร.บ. สอบสวนคดีพิเศษ มาตรา 25 หรือไม่ก็ใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 18 ประกอบมาตรา 19 คือ มีเหตุอันสมควรเชื่อว่ามี การกระทำความผิดเกิดขึ้น ฉะนั้นก็ไปขอคำสั่งศาลเพื่ อขอเข้าถึงข้อมูลในระบบคอมพิ วเตอร์ อย่างนี้ทำได้ คือมันอาจไม่ใช่ประมวลกฎหมายวิ ธีพิจารณาความอาญา แต่มันก็มีกฎหมายพิเศษอยู่ แต่เงื่อนไขในการใช้อำนาจอยู่ที ่ว่าได้ไปขออนุญาตไหม ถ้าเป็น พ.ร.บ.สอบสวนคดีพิเศษต้องขออธิ บดีศาลที่อยู่ในเขตอำนาจ แต่ถ้าเป็น พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ต้องขอศาลที่อยู่ในเขตอำนาจ
เราจะนับว่ากฎหมายที่รองรับ คือ เป็นคำสั่ง/ประกาศของคสช.ได้ไหม
ขอตอบแบบนี้ดีกว่าว่า ถ้าตำรวจเขามีหมายศาลรองรับ แน่นอนมันก็ทำได้ เขาเข้าไปค้นได้ เราอ้างไม่ได้ ยิ่งถ้าเขาบอกว่ามีเหตุอั นควรเชื่อได้ว่ามี การกระทำความผิดเกิดขึ้น โดยเฉพาะความผิดเกี่ยวกับความมั ่นคง กฎหมายก็เปิดช่องตรงนี้เอาไว้ ให้ แต่ถ้าข้อเท็จจริงคือ เขาไม่ได้ขอหมายศาล หรือกระทั่งไม่มีกฎหมายรองรั บเลย เหมือนกับการแอบดักฟังโทรศัพท์ โดยไม่มีคำอนุญาตจากศาล ผลของมัน คือ หากเอาสิ่งที่ดักได้มาสืบพิสู จน์ ศาลอาจจะรับฟังหรือไม่รับฟังเป็ นพยานก็ได้ เป็นดุลพินิจศาล เพราะหลักฐานในลักษณะนี้ เป็นพยานหลักฐานที่ “ได้มา” โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในทางกฎหมายวิธีพิจารณาความนั้ นกำหนดว่า พยานหลักฐานที่ได้มาโดยไม่ชอบ โดยหลักห้ามไม่ให้ศาลรับฟัง เว้นแต่มีเหตุผลตามกฎหมาย เช่น เพื่อประโยชน์ของกระบวนการยุติ ธรรม หรืออื่น ๆ พูดง่าย ๆ ว่าให้ศาลใช้ดุลยพินิจว่ าควรจะรับฟังหรือไม่ก็ได้ กฎหมายไม่เคร่งครัดถึงขั้นว่ าให้ตัดพยานนั้นออกไปเลย
แต่ถ้าเป็น พยานที่ “เกิดขึ้น” โดยไม่ชอบ กฎหมายห้ามศาลรับฟังโดยเด็ดขาด คำว่า ‘เกิดขึ้น’ กับ ‘ได้มา’ ไม่เหมือนกัน ถ้าเกิดขึ้นโดยมิชอบก็คือ การทำหรือสร้างพยานหลักฐานเท็จ หรือทำให้ผู้ต้องหาพูดสิ่งนั้ นออกมาโดยที่เขาไม่สมัครใจ เพราะอาจถูกบังคับ ถูกจูงใจ หรือถูกหลอกโดยเจ้าหน้าที่รั ฐเองเพื่อที่จะเอาไปเป็ นพยานโดยเขาไม่รู้
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะบอกว่ าเป็น พยานที่เกิดขึ้นโดยไม่ชอบ ก็คงไม่ใช่ เป็นแต่แค่พยานที่อาจได้ มาโดยไม่ชอบ เพราะไม่มีหมายศาล หรือมีกฎหมายมารองรับการค้ นหาพยานด้วยวิธีแบบนี้เท่านั้น
ตำรวจชี้แจงว่าบอกวิธีการเข้าถึ งแชทไม่ได้ เพราะกระบวนการสอบสวนต้องเป็ นความลับ
ต้องดูว่า ใครเป็นคนถามตำรวจ และถามเขาในฐานะอะไร เพราะถ้าเป็นสื่อมวลชน คือถามเขาเพื่อเอาไปทำข่าว กรณีนี้เจ้าหน้าที่เขาก็มีสิทธิ ไม่บอก มันมีระเบียบตำรวจอยู่เหมือนกั นว่าแม้ไม่ห้ามแต่ก็ไม่ควรให้ข้ อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีทั้งหมดกั บสื่อหรือบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้ องกับคดี เพราะเกรงว่าจะทำให้เสียรูปคดี หรืออาจมีผลต่อการหาพยาน แต่ถ้าถามเขาในฐานะของ “ผู้ต้องหา” หรือ “ทนายความของผู้ต้องหา” กรณีนี้แบบนี้ตำรวจ หรือพนักงานสอบสวนจะเลี่ยงไม่ ให้ข้อเท็จจริงทั้งหมดของข้ อหาไม่ได้ เพราะมันมีกฎหมายบังคับอยู่ เป็นสิทธิตามกฎหมายของผู้ต้องหา และเป็นหน้าที่ตามกฎหมายด้วยที่ พนักงานสอบสวนต้องแจ้งให้ เขาทราบทั้ง “ข้อหา” และ “ข้อเท็จจริงเกี่ยวกั บการกระทำที่กล่าวหา” ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิ จารณาความอาญามาตรา 134 ซึ่งในทางกฎหมายนั้น หากไม่แจ้งหรือแจ้งไม่ครบ จะทำให้กระบวนการสอบสวนที่ ทำไปทั้งหมดไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญามั นมีทั้งหมด 3 ขั้นตอน คือ ชั้นพนักงานสอบสวน ชั้นอัยการ และชั้นศาล ในขั้นตอนการสอบสวนนั้น ตำรวจที่เป็นพนักงานสอบสวนก็มี หน้าที่หลายอย่างตามกฎหมาย และต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง เพื่อให้การสอบสวนของตนชอบด้ วยกฎหมายนั่นเอง เพราะหากมีเหตุที่ให้ การสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมายขึ้ นมา ก็จะส่งผลต่อไปในชั้นพนักงานอั ยการ เพราะจะทำให้อัยการ “ไม่มีอำนาจฟ้อง” ทั้งนี้ตามมาตรา 120 ประมวลกฎหมายวิธีพิ จารณาความอาญา ซึ่งหากอัยการฟ้องไป โดยที่ไม่มีอำนาจฟ้องตามกฎหมาย แน่นอนว่า ศาลย่อมยกฟ้อง เพราะโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ทีนี้การสอบสวนแบบไหนที่ไม่ ชอบด้วยกฎหมาย แบบหนึ่งเลยก็อย่างที่บอกคือ ฝ่าฝืนมาตรา 134 คือ พนักงานสอบสวนไม่แจ้งข้อหารวมทั ้งสภาพแห่งข้อหา หรือข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกั บข้อหาทั้งหมดว่าที่จะฟ้องเขานั ้นเป็นเพราะเขาทำอะไรผิด คือกั๊กเอาไว้ ไม่ยอมบอกผู้ต้องหา แบบนี้ถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะมันทำให้ผู้ต้องหาไม่มีข้ อเท็จจริงที่ครบถ้วนเพี ยงพอในการต่อสู้คดี
กระบวนการตามป.วิอาญามาตรา 134 อันนี้เกี่ยวพันกับการที่ ตำรวจแถลงข่าวว่ามีมากกว่า ‘จ้า’ ใช่ไหม
ถูกต้องค่ะ เพราะทนายความและคนที่ไปสั งเกตการณ์การแจ้งข้อกล่าวหา และสอบสวนผู้ต้องหาเขาก็บอกว่า ตำรวจพูดแค่นั้นจริง ๆ บอกว่ามีแค่เรื่อง ‘จ้า’ เท่านั้น แต่ตอนตำรวจแถลงข่าวอีกทีหนึ่ งกลับมาบอกว่า จริง ๆ มันมีมากกว่านั้น
อย่างไรก็ตาม กรณีที่มีบทความเรื่ องกระบวนการสอบสวนกับมาตรา 134 ออกมาก่อนหน้านี้ ที่ว่า หากตำรวจบอกว่ามีเรื่องอื่นด้ วยที่มากกว่าคำว่า “จ้า” ก็จะถือเป็นกระบวนการที่ไม่ ชอบด้วยกฎหมายเลยเพราะไม่ได้แจ้ งข้อหา และข้อเท็จจริงทั้งหมดแก่ผู้ต้ องหานั้น เอาเข้าจริงเรื่องนี้ถูกต้องอยู ่ แต่อาจตอบโจทย์ได้แค่ครึ่งเดียว เพราะหากในท้ายที่สุด พนักงานสอบสวนยืนยันว่ าจะทำความเห็นฟ้องคดีเรื่องนี้ จริง ๆ เขาก็ยังสามารถทำได้โดยชอบด้ วยกฎหมายอยู่ เพียงแต่ในสำนวนของเขาต้องมีแค่ เรื่อง “จ้า” เท่านั้นตามที่แจ้งไว้แก่ผู้ต้ องหา จะยัดเรื่องอื่นหรือข้อเท็จจริ งอื่น ๆ เพิ่มเติมไปด้วยไม่ได้ และเมื่อส่งให้พนักงานอัยการ หากพนักงานอัยการจะทำความเห็นสั ่งฟ้องเลย ในคำฟ้องก็จำเป็นต้องมีแค่เรื่ องนี้เท่านั้น ห้ามมีเรื่องอื่นสอดไส้ไปด้วย ถ้าเขาทำแบบนี้ ศาลย่อมรับฟ้อง เพราะการสอบสวนชอบด้วยกฎหมายแล้ ว และอัยการก็มีอำนาจฟ้อง แต่ถ้าพบว่า ในสำนวนการสอบสวนมีข้อเท็จจริ งแห่งข้อหามากกว่าการใช้คำว่า “จ้า” หรือในคำฟ้องของอัยการมีเรื่ องนี้ปรากฏอยู่โดยที่ผู้ต้ องหาไม่รู้เลย แบบนี้ ถึงจะเป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบด้ วยกฎหมาย อัยการไม่มีอำนาจฟ้อง และศาลต้องยกฟ้อง
แต่ว่าอัยการสามารถส่งกลับให้ ตำรวจสอบสวนเพิ่มเติมได้
อันนี้ทำได้ แต่แน่นอนว่าในเวลานั้นตัวผู้ต้ องหาก็ต้องได้รับการบอกแจ้งข้ อเท็จจริงเพิ่มเติมด้วย จะงุบงิบสอบสวนเพิ่มกันเอง หรืออุ๊บอิ๊บฟ้องไปเองไม่ได้
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น