กรณีสมยศ: บรรณาธิการต้องความผิด ติดคุก10 ปี เพราะศาลเชื่อว่าเขาคิดเหมื อนพยานโจทก์
Posted: 26 May 2016 05:27 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
เมื่อเดือนมกราคม 2013 ศาลอาญาได้พิพากษาจำคุกบรรณาธิ การนิตยสารเป็นเวลา 10 ปี เนื่องจากกระทำผิดกฎหมายหมิ่ นประมาทกษัตริย์ ด้วยการตีพิมพ์เผยแพร่บทความ 2 ชิ้น ศาลพิสูจน์ความผิดของบรรณาธิ การคนนั้นด้วยการให้พยานมาอ่ านบทความที่ถูกกล่าวหาและตี ความให้ศาลฟัง เมื่อได้ฟังการตี ความของพยานเหล่านั้นแล้ว ศาลสรุปว่า บรรณาธิการคนนั้นเมื่ออ่ านบทความ 2 ชิ้นนั้นแล้ว ก็จะต้องตีความแบบเดียวกั บพยานส่วนหนึ่ง จึงแสดงให้เห็นว่าบรรณาธิการมี เจตนาหมิ่นประมาทกษัตริย์ด้ วยการตีพิมพ์เผยแพร่บทความทั้ง 2 ชิ้น ศาลจึงลงโทษบรรณาธิการผู้นั้นด้ วยการจำคุกเป็นเวลา 10 ปี
สมยศ พฤกษาเกษมสุข นอกจากเป็นบรรณาธิการนิ ตยสารวอยซ์ออฟทักษิณซึ่งตีพิมพ์ บทความที่ถูกกล่าวหาแล้ว ยังเป็นนักเคลื่อนไหวด้านแรงงาน ทำงานต่อสู้เพื่อผู้ใช้ แรงงานมาตลอดหลายสิบปี ในท่ามกลางวิกฤตทางการเมืองที่ สถาบันกษัตริย์เป็นส่วนสำคัญหนึ ่งในเหตุการณ์ สมยศได้รณรงค์ให้ยกเลิ กกฎหมายหมิ่นประมาทกษัตริย์ เพราะเห็นว่าเป็นกฎหมายที่ละเมิ ดเสรี ภาพในการแสดงออกและแสดงความคิ ดเห็น
ในอดีตประเทศไทยเคยมีกฎหมายเกี่ ยวกับสิ่งพิมพ์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1941 ซึ่งก็คือ พระราชบัญญัติการพิมพ์ พุทธศักราช 2484 ซึงมีบทบัญญัติให้บรรณาธิการต้ องรับผิดในข้อความหมิ่นประมาทที ่เกิดขึ้นในสิ่งพิมพ์ที่ ตนเผยแพร่ อย่างไรก็ตาม กฎหมายนี้ได้ถูกยกเลิกไปแล้ วในปี 2007 โดยพระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พุทธศักราช 2550 ซึ่งกฎหมายใหม่นี้ไม่ระบุให้ บรรณาธิการต้องรับผิดต่อข้ อความหมิ่นประมาทที่เกิดขึ้ นในสิ่งพิมพ์ที่ตนพิมพ์เผยแพร่ อีกต่อไป เป็นที่เข้าใจโดยทั่ วไปในวงการของผู้พิมพ์หนังสื อและนักหนังสือพิมพ์นับแต่นั้ นว่า หากมีความผิดฐานหมิ่นประมาทเกิ ดขึ้นในสิ่งพิมพ์หรือหนังสือพิ มพ์ผู้ที่ต้องรับผิดก็คือผู้ ประพันธ์เท่านั้น บรรณาธิการไม่ต้องรับผิดอีกต่ อไป หลังจากมีกฎหมายใหม่นี้ ก็เกิดคดีความฟ้องร้องและมีคำพิ พากษาเป็นบรรทัดฐานแล้วว่า บรรณาธิการไม่ต้องรับผิดต่อข้ อความหมิ่นประมาทที่เกิดขึ้ นในสิ่งพิมพ์ เช่น กรณีหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวั นลงตีพิมพ์เผยแพร่เนื้ อหาการดำเนินรายการทางสถานีวิ ทยุ ในทำนองว่า ขณะที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่ าการธนาคารแห่งประเทศไทย เคยใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ต่อมามีการฟ้องบรรณาธิการของหนั งสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื ่อวันที่ 23 มกราคม 2007 ว่าจำเลยกระทำความผิดจริง และตัดสินลงโทษปรับ ต่อมาศาลอุทธรณ์ได้ตัดสินยกฟ้ องโดยให้เหตุผลว่า “ขณะที่คดีอยู่ระหว่างการพิ จารณาได้มีการบังคับใช้ พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 ซึ่งตามมาตรา 3 ได้ให้ยกเลิก พ.ร.บ.การพิมพ์ 2484 อีกทั้ง พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ฯ ไม่ได้บัญญัติให้บรรณาธิการต้ องเป็นผู้รับผิดชอบในข้อความที่ ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ที่ตนเป็ นบรรณาธิการ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็ นความผิดอีกต่อไป”
ในการต่อสู้คดี สมยศ พฤกษาเกษมสุขก็ได้ยก พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ 2550 ขึ้นมาเป็นข้อต่อสู้ว่า พ.ร.บ.ดังกล่าวได้มีบทยกเลิก พ.ร.บ.การพิมพ์ 2484 จำเลยย่อมพ้นจากการเป็นผู้ กระทำผิด แต่ศาลกลับปฏิเสธที่จะวินิจฉัย โดยกล่าวในคำพิพากษาว่า “ที่จำเลยต่อสู้ว่า พระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 ได้มีบทบัญญัติยกเลิกพระราชบั ญญัติการพิมพ์ พ.ศ.2484 จำเลยย่อมพ้นจากการเป็นผู้ กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคสอง นั้น เป็นเรื่องกฎหมายบัญญัติว่า ถ้าตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บั ญญัติในภายหลัง การกระทำเช่นนั้นไม่เป็นความผิ ดต่อไป ให้ผู้ที่ได้กระทำการนั้นพ้ นจากการเป็นผู้กระทำความผิด ย่อมหมายความว่าจำเลยพ้ นจากการเป็นผู้กระทำความผิ ดตามพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.2484 เท่านั้น ส่วนการกระทำของจำเลยจะเป็ นความผิ ดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ตามฟ้อง ไม่ได้ถูกยกเลิ กโดยผลของกฎหมายดังกล่าวด้วย ข้อต่อสู้ดังกล่าวของจำเลยจึงฟั งไม่ขึ้น ที่จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยไม่ใช่ผู ้เขียนบทความที่โจทก์นำมาฟ้ องเป็นคดีนี้นั้น เห็นว่าโจทก์ฟ้องจำเลยว่ าจำเลยหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่ อพระมหากษัตริย์ด้วยการจัดพิมพ์ จัดจำหน่ายและเผยแพร่นิ ตยสารวอยซ์ออฟทักษิณ ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงไม่ใช่ การกระทำที่ถูกฟ้อง และไม่ใช่ประเด็นแห่งคดีที่ ศาลจะรับวินิจฉัย จึงไม่รับวินิจฉัย”
สรุปคำกล่าวของศาลก็คือ เพราะโจทก์ฟ้องว่าจำเลยหมิ่ นประมาทกษัตริย์ด้วยการจัดพิมพ์ จัดจำหน่ายและเผยแพร่นิตยสาร ที่จำเลยอ้างว่า พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ 2550 ได้ยกเลิก พ.ร.บ.การพิมพ์ 2484 ไปแล้ว จึงไม่ใช่การกระทำที่ถูกฟ้อง
ทั้งที่ ถ้าหาก พ.ร.บ.การพิมพ์ 2484 ยังไม่ถูกยกเลิก และมีผลบังคับใช้อยู่ ความผิดที่เกิดขึ้นในกรณีนี้ก็ คือ การเป็นบรรณาธิการ จัดพิมพ์ และเผยแพร่นิตยสารที่มีข้ อความหมิ่นประมาท แต่ศาลพิพากษาว่ามันไม่ใช่ การกระทำที่ถูกฟ้อง
ในการสืบพยานและไต่สวนโดยตลอด ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใด ๆ นอกจากพยานหลักฐานที่พิสูจน์ว่ าสมยศคือบรรณาธิการของนิตยสารดั งกล่าว และในการพิสูจน์เจตนากระทำผิ ดของสมยศก็ไม่มีพยานหลักฐานอื่ นใด นอกจากความเห็นของพยานจำนวนหนึ่ งที่ให้การต่อศาลหลังจากที่อ่ านบทความแล้ว
ในการสืบพยานเพื่อชี้ เจตนากระทำผิดศาลใช้วิธีให้ พยานอ่านบทความและแสดงความเห็ นว่าบทความ 2 ชิ้นดังกล่าวหมิ่นประมาทหรือไม่ โดยพยานเหล่านั้นมีความเห็ นแตกต่างกันออกไปคือ กลุ่มแรก มีความเห็นว่าหมิ่นประมาททั้ง 2 ชิ้น กลุ่มที่สอง มีความเห็นว่า ชิ้นหนึ่งหมิ่นประมาท อีกชิ้นหนึ่งไม่ทราบว่าหมิ่ นประมาทหรือไม่ กลุ่มที่สาม มีความเห็นว่าไม่หมิ่นประมาททั้ ง 2 ชิ้น และกลุ่มที่ 4 อ่านไม่รู้เรื่อง ไม่ทราบว่าบทความต้องการหมายถึ งเรื่องอะไร
คดีนี้จึงต้องบันทึกไว้ในประวั ติศาสตร์ว่า ศาลได้พิพากษาให้บรรณาธิ การคนหนึ่งมีความผิดเพราะเชื่ อว่า บรรณาธิการคนนี้อ่านบทความแล้ วจะต้องมีความเห็นแบบเดียวกั บพยานกลุ่มที่หนึ่งเท่านั้น โดยไม่มีหลักฐานใด ๆ เลย และไม่มีกฎหมายระบุให้บรรณาธิ การต้องรับผิดต่อความผิดที่เกิ ดขึ้นในสิ่งพิมพ์ที่ตนตีพิมพ์
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น