เมื่อประมวลเหตุการณ์ทั้งหมดจะพบว่ามันมีมุมตลก
ทหาร 8 นายปิดหน้าอุ้มจ่านิว 2 ชั่วโมงกว่าจึงเอาไปส่ง สน. (จ่านิวเผยว่าถูกเตะถูกขู่) เช้ามาจับอีก 3 ระหว่างไปเยี่ยม พอถูกถามทำไมไม่จับจ่านิวดีๆ ประยุดโผงผางจะจับยังไงก็ได้ & จะให้ธรรมศาสตร์ดูทำไมจ่านิวไม่จบซักที (นศ.เรียน 5-6 ปีถมไป หนักหัวกบาลใคร) แล้วลามไปพูดเรื่องรถทหารคุกคามนักข่าว (เกิดอะไรไม่ต้องไปดู)
พอบ่ายมา ศาลทหารสั่งปล่อยไม่ต้องฝากขัง เอ๊ะมันยังไง ถ้าจะจับแล้วปล่อยอย่างนี้จับกันดีๆ ก็ได้ ไม่ต้องอุ้มให้โดนประณาม (และไม่ต้องพล่ามให้เข้าเนื้อ เล่นบทเมตตาปรานีก็ได้)
หนึ่ง ตั้งใจขังยาว แต่เห็นกระแสโต้กลับ
สอง ผิดคิว ลูกน้องทำเกินสั่ง แต่ยังไง นายก็ต้องปากแข็ง
สาม แค่ต้องการขู่ให้จ่านิวกลัว (พิลึก คนกลัวจะสู้มาถึงขั้นนี้เรอะ)
สอง ผิดคิว ลูกน้องทำเกินสั่ง แต่ยังไง นายก็ต้องปากแข็ง
สาม แค่ต้องการขู่ให้จ่านิวกลัว (พิลึก คนกลัวจะสู้มาถึงขั้นนี้เรอะ)
ไม่ว่าข้อไหนก็ตาม สะท้อนว่าทหารปี 59 ไม่สามารถทำตามอำเภอใจไปจนสุด เหมือนยุคสฤษดิ์ยุคหอยยุค รสช. เพียงใช้อำนาจเผด็จการได้ตามสถานการณ์ เท่าที่ช่วงชิงกระแสได้ ต้องสลับใช้ปืนกับอ้างกฎหมาย (ซึ่งก็เป็นกฎหมายที่มาจากปืน) ประกอบวาทกรรม (ซึ่งก็อ่อนเหตุผลกระทั่งชนฝา) ฉะนั้นการเคลื่อนไหวช่วงชิงความชอบธรรมทางการเมืองจึงเป็นอาวุธที่ทรงพลัง สามารถทำได้อย่างหนุนเนื่อง ตามจังหวะตามประเด็น
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น