เมื่อวานนี้ 6 ตุลา
************************** *****
6 ตุลาในหน้าฟีดเฟซบุ๊กของแต่ ละคนคงไม่เหมือนกัน สำหรับบางคนก็เป็นวันธรรมดา เหมือนวันอื่นๆ แต่สำหรับคนที่มีเพื่อนหรือ รุ่นพี่ที่เคยมีประวัติศาสต ร์อยู่ร่วมสมัยหรือร่วมเหตุ การณ์กับเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 เฟซบุ๊กของเขาย่อมเต็มไปด้ว ยการรำลึกถึงเหตุการณ์ครั้ง นั้นในแง่มุมต่างๆ
จากวันนั้นถึงวันนี้ เวลาเคลื่อนมา 38 ปี ร่อยรอยประวัติศาสตร์ย่อมพร ่าเลือนเมื่อไม่มีการย้ำเตื อนและหวนรำลึกถึง เด็กที่เกิดมาหลังปี พ.ศ. 2520 จำนวนมากไม่เคยได้ยินเรื่อง ราว '6 ตุลา 19' เลยด้วยซ้ำว่าเช้าวันนั้นเก ิดอะไรขึ้นบ้าง บางคนเคยได้ยินผ่านหู บางคนบอกว่า "จำได้คลับคล้ายคลับคลา ไม่แน่ใจว่า 14 ตุลา 19 หรือ 19 ตุลา 16 หรือ 6 ตุลา 14 หรืออะไรกันแน่ ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ"
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่พวกเร าเติบโตขึ้นมาโดยไม่มีความท รงจำในวันที่เลวร้ายที่สุดว ันหนึ่งในสังคมไทยอยู่ในหัว ห้องเรียนไม่เน้นย้ำ แบบเรียนไม่มีสอน ข้อสอบอาจจะออกมาแบบให้จำแค ่วันที่ ไม่มีการวิเคราะห์ คิดตาม สรุปบทเรียนจากเหตุการณ์ในป ระวัติศาสตร์แต่อย่างใด ใครจำ 14 ตุลา 16 กับ 6 ตุลา 19 ได้โดยไม่สลับกันคนนั้นก็เก ่งมากแล้ว ไม่ต้องรู้หรอกว่าเกิดอะไรข ึ้นในสองวันนั้นบ้าง
ด้วยความที่เราเน้นย้ำลักษณ ะเด่นประการหนึ่งของสังคมไท ย (ในฝัน) คือ "ไทยนี้รักสงบ" และ "รักสามัคคี" เรื่องราวเลวร้ายที่สุดในปร ะวัติศาสตร์อย่างเหตุการณ์ใ นเช้าวันที่ 6 ตุลาเมื่อ 38 ปีที่แล้วจึงไม่ถูกพูดถึงมา กนัก ไม่ว่าจากสื่อกระแสหลัก ทีวี นิตยสาร หรือกระทั่งในโรงเรียน
เพิ่งได้อ่านสัมภาษณ์ อ.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ หนึ่งในอดีตนักศึกษาผู้ก่อต ั้งสภาหน้าโดม ผู้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์เด ือนตุลาทั้งสองครั้ง อาจารย์ตั้งข้อสังเกตว่า "พอเรามาดูเหตุการณ์ เดือนตุลาฯ ทั้ง 2 ครั้ง รวมทั้งพฤษภาฯ 2535 มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ประวัติศาสตร์เหล่านี้ มันไม่มีที่ทางในสังคมไทย เพราะเหตุการณ์เหล่านี้มันไ ม่มีบรรยากาศของความสมานฉัน ท์ ความสามัคคี"
สังคมไทยจึงเลือกที่จะแกล้ง ลืมความขัดแย้งครั้งรุนแรง และเลือกรักษาภาพแห่งความรั กสงบและรักสามัคคีเอาไว้ ประวัติศาสตร์ที่วุ่นวายอธิ บายยาก ถูกย่นย่อให้เหลือเพียงไม่ก ี่บรรทัดในแบบเรียน ซึ่งแทบไม่มีคนสนใจด้วยซ้ำไ ป
ถามว่าความสงบและสามัคคีไม่ ดีหรอกหรือ สองสิ่งนี้ดีแน่ หากเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ไม่ได้เกิดขึ้นจากการกลบฝัง ความขัดแย้งบางอย่างไว้ใต้พ รม แล้วหลงสบายใจกับความสงบสาม ัคคีกันโดยไม่เรียนรู้จากอด ีตเลย เมื่อฝุ่นเริ่มคลุ้งอีกครั้ งก็มีคนออกมาปัดกวาดให้ฝุ่น ไปซุกอยู่ใต้พรมอีกหน ทำแบบนี้มีแต่จะทำให้ฝุ่นใต ้พรมหนาขึ้นเรื่อยๆ หากวันหนึ่งยกพรมขึ้นมา ฝุ่นคงจะยิ่งคลุ้งแสบตากว่า เดิมหลายเท่า
..
หลายประเทศที่เกิดเหตุการณ์ ความขัดแย้งรุนแรงครั้งใหญ่ เลือกที่จะ 'ไฮไลต์' ใช้ปากกาสีโดดเด่นเน้นย้ำบร รทัดนั้นของประวัติศาสตร์เพ ื่อให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู ้
เมื่อครั้งเดินทางไปทำสารคด ีที่ค่ายกักกันเอาช์วิตซ์ที ่โปแลนด์ ซึ่งเคยถูกใช้เป็นสถานกักกั นชาวยิวเพื่อรอที่จะนำตัวไป สังหารโหดด้วยวิธีรมแก๊สพิษ ในสมัยที่กองทัพนาซีเรืองอำ นาจ ผมได้เรียนรู้ว่า การ 'ไฮไลต์' ประวัติศาสตร์อันโหดร้ายและ อัปลักษณ์นั้นส่งผลดีต่อคนร ุ่นหลัง
ชาวยิวเสียชีวิต 6 ล้านคนจากเหตุการณ์ครั้งนั้ น แต่ชาวเยอรมัน ชาวยิว ชาวโปแลนด์ รวมถึงชาวโลกจะไม่ลืมความโห ดเหี้ยมที่มนุษย์กระทำต่อมน ุษย์ด้วยกัน ผู้คนจากทั่วโลกเดินทางไปสั มผัสบรรยากาศที่ครั้งหนึ่งม นุษย์เคยเกลียดชังกันขนาดนั ้นด้วยตาตัวเอง เพื่อเรียนรู้และรับรู้ด้วย หัวใจ
ผมได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ร ะดับหัวหน้าของพิพิธภัณฑ์เอ าช์วิทซ์ เขาบอกกับผมว่า "เราเก็บรักษาประวัติศาสตร์ เอาไว้ เพื่อบอกกับคนรุ่นหลังว่า เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้น อีกแล้ว" จากการพูดคุยกับหนุ่มน้อยชา วเยอรมันคนหนึ่งถึงความรู้ส ึกที่เขาได้รับจากการมาที่น ี่ เขาตอบว่า "ผมรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ ์ที่เกิดขึ้น เราแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แต่เราเลือกอนาคตได้ ผมจะไม่มีวันยอมให้มันเกิดข ึ้นอีกแน่นอน"
ระหว่างเดินสำรวจค่ายกักกัน ซึ่งเคยเป็นสถานที่ทรมานเชล ยชาวยิวและชาวยุโรปอื่นๆ ผมเห็นนักเรียนหนุ่มสาวชาวย ิวจำนวนมาก เดินถือธงชาติอิสราเอลมาพร้ อมกับคุณครูของเขา สถานที่แห่งนี้อาจเคยสังหาร บรรพบุรุษของบางคน
ผมถามคุณครูถึงเหตุผลที่พาเ ด็กๆ มาทัศนศึกษาในสถานที่เช่นนี ้ คุณครูตอบผมว่า "เราต้องการให้เขาได้มาซึมซ ับถึงความเกลียดชังที่มนุษย ์เคยมีต่อกัน ถึงขั้นจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ให้ไม่ต้องอยู่ร่วมโลกกัน เราอาจให้เขาได้เรียนรู้ในค วามผิดพลาดนี้ เพื่อที่เขาจะได้โตขึ้นเป็น คนที่ไม่กระทำสิ่งเหล่านี้ก ับเพื่อนมนุษย์"
ผมหันไปถามนักเรียนเหล่านั้ น หลายคนตอบตรงตามเจตนาของคุณ ครูที่พามา แต่มีคนหนึ่งที่มีแววตาเกรี ้ยวกราด สัมผัสได้ถึงความโกรธแค้น เขาตอบผมว่า "ผมได้เรียนรู้ว่า มนุษย์เราโหดร้ายต่อกันมาก เราไม่ควรเกลียดชังกันขนาดน ี้ แต่ไม่เป็นไร วันนี้อิสราเอลมีกองทัพของต ัวเองแล้ว เราไม่กลัวใครแล้ว" แน่นอน ผมสัมผัสได้ถึงความสับสนในใ จของเขา เมื่อหันไปมองคุณครู คุณครูพยักหน้าให้ผม ยกคิ้วขึ้น ทำหน้าทำนองว่า--นี่เป็นการ บ้านของเขาต่อไป
...
แน่นอน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในดินแ ดนของอิสราเอลและปาเลสไตน์ก ็ยังคงวนลูปอยู่กับความขัดแ ย้งและความรุนแรง แต่ผมเชื่อว่า มีหลายคนที่พยายามสอนและบอก เล่าเรื่องราวแย่ๆ ในประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นหล ังได้เรียนรู้ เพื่อช่วยกันลดเหตุการณ์รุน แรงในอนาคต
แต่การที่เราไม่เรียนรู้จาก อดีตเลย คงเป็นเรื่องยากที่จะคาดหวั งว่าเราจะไม่กระทำรุนแรงต่อ กันและกันอีก
เช้าวันที่ 6 ตุลา เมื่อ 38 ปีที่แล้ว คนไทยไล่ฆ่าคนไทยด้วยกันเอง อย่างโหดเหี้ยมทารุณ มีการจับนักศึกษาแขวนคอแล้ว ฟาดด้วยเก้าอี้ไม่ยั้งมือ โดยที่มีคนจำนวนมากยืนมุง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ บางคนมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า
แน่นอน มันเป็นความจริงที่เจ็บปวด แต่เมื่อรู้แล้ว รวมทั้งศึกษาเรื่องราวว่ามั นเกิดขึ้นจากอะไร เราย่อมช่วยกันตระหนักว่าเห ตุการณ์อัปลักษณ์เช่นนี้จะต ้องไม่เกิดขึ้นอีก
สำหรับคนที่เกิดในรุ่นเดียว กันกับผม และคนที่เกิดหลังจากนั้น หลายคนอาจไม่เคยเห็นภาพนี้ด ้วยซ้ำ แน่ละ มันไม่สวยงาม มันไม่สมานฉันท์ มันไม่สามัคคี มันไม่แสดงออกว่าคนไทยรักกั น แต่มันคือความจริง
ถึงเวลาหรือยังที่เราจะยอมร ับความจริง และเรียนรู้จากมัน
หรือเราจะต้องปล่อยให้ความเ กลียดชังรุนแรงแบบนี้เกิดขึ ้นอีกครั้งแล้วครั้งเล่า?
**************************
6 ตุลาในหน้าฟีดเฟซบุ๊กของแต่
จากวันนั้นถึงวันนี้ เวลาเคลื่อนมา 38 ปี ร่อยรอยประวัติศาสตร์ย่อมพร
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่พวกเร
ด้วยความที่เราเน้นย้ำลักษณ
เพิ่งได้อ่านสัมภาษณ์ อ.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ หนึ่งในอดีตนักศึกษาผู้ก่อต
สังคมไทยจึงเลือกที่จะแกล้ง
ถามว่าความสงบและสามัคคีไม่
..
หลายประเทศที่เกิดเหตุการณ์
เมื่อครั้งเดินทางไปทำสารคด
ชาวยิวเสียชีวิต 6 ล้านคนจากเหตุการณ์ครั้งนั้
ผมได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ร
ระหว่างเดินสำรวจค่ายกักกัน
ผมถามคุณครูถึงเหตุผลที่พาเ
ผมหันไปถามนักเรียนเหล่านั้
...
แน่นอน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในดินแ
แต่การที่เราไม่เรียนรู้จาก
เช้าวันที่ 6 ตุลา เมื่อ 38 ปีที่แล้ว คนไทยไล่ฆ่าคนไทยด้วยกันเอง
แน่นอน มันเป็นความจริงที่เจ็บปวด แต่เมื่อรู้แล้ว รวมทั้งศึกษาเรื่องราวว่ามั
สำหรับคนที่เกิดในรุ่นเดียว
ถึงเวลาหรือยังที่เราจะยอมร
หรือเราจะต้องปล่อยให้ความเ