แต่ไหนแต่ไรมาผมไม่เคยศรัทธานักกฎหมาย ไม่เคยนับถือวิชากฎหมาย รู้สึกว่าคนในวิชาชีพนี้เป็นพวกเล่นโวหาร ฉลาดแกมโกงแบบศรีธนญชัย คล้าย ๆ ที่เขาเรียกกันว่าพวกหัวหมอ พลิกลิ้นไปได้เรื่อย ๆ

ตั้งแต่หลังรัฐประหาร 49 หรือแม้แต่ก่อนหน้านั้น ฟังพวกนักกฎหมายพูดแล้วผมก็แทบไม่ประหลาดใจอะไรเลยที่พวกเขาเอามาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญไปโยงกับเรื่องนายกฯ พระราชทานได้อย่างหน้าตาเฉย แม้ว่ามันจะดูหน้าด้านเอามาก ๆ

มุมมองของผมต่อกฎหมายและนักกฎหมายมาเปลี่ยนเอาจริง ๆ ก็เมื่อค่อย ๆ ได้ฟังทัศนะของผู้ชายคนนี้แหละครับ

ถ้าไม่มีวรเจตน์ ภาคีรัตน์และนิติราษฎร์ รับรองได้เลยว่าหลังจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ผ่านมาจนถึงวันนี้ผมคงจะต้องเกลียดพวกนักกฎหมายเข้าไส้ คือแต่ก่อนไม่ได้ชอบไม่ได้นับถือ แต่ก็ไม่ถึงกับเกลียดอะไร แต่ในวิกฤตการเมืองนี้ ถ้าไม่มีนิติราษฎร์ออกมา ผมคงจะต้องเปลี่ยนเป็นสาปส่งพวกนักกฎหมายแบบไม่ให้ผุดไม่ให้เกิด เพราะเป็นพวกลวงโลกสายพันธุ์ที่ชั่วที่สุดสายพันธุ์หนึ่งเลยทีเดียว

เอาเข้าจริง ๆ สิ่งที่นิติราษฎร์ปกป้องเอาไว้ได้ อาจจะไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่เป็นวิชากฎหมายนี่แหละ เพราะวิกฤตการณ์ที่ผ่านมา คิดว่าไม่ใช่ผมคนเดียวที่ไม่ชอบนักกฎหมาย แต่ชาวบ้านประชาชนอีกจำนวนมากก็รู้สึกได้ถึงความลวงโลกในกรณีต่าง ๆ ถ้าไม่มีวรเจตน์และนิติราษฎร์ออกมาอธิบายหลักการกฎหมายจริง ๆ วิชานิติศาสตร์คงไม่มีอะไรเหลืออีกแล้วนอกจากความสับปรับ

ผมว่าฝ่ายที่เป็นหนี้บุญคุณวรเจตน์ก็คือ คณะนิติศาสตร์ทุกมหาวิทยาลัยในประเทศนี้ ที่ช่วยไม่ให้วิชานี้กลายเป็นสิ่งเลวร้าย เป็นที่ซ่องสุมพวกกะล่อนขึ้นมาเป็นเนติบริกรชั่วเอาแต่ได้ พอมีนิติราษฎร์ออกมาแล้วอย่างน้อยมันก็กู้ภาพนักกฎหมายให้ประคองตัวรอดไปได้บ้าง จุดประกายให้คนใหม่ ๆ ดี ๆ มองเห็นคุณค่าของวิชานี้อยู่บ้าง ไม่ถึงกับพินาศไปในวิกฤตเสียทีเดียว

 
Top