งานของมนุษย์ประเภทไหน ที่หุ่นยนต์จะแย่งไปทำแทนเป็นงานแรก ?
บริษัทที่ปรึกษาอย่าง Boston Consulting Group เคยประเมินว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้า งานที่เราทำกันอยู่นี้ถึง 1 ใน 4 จะถูกหุ่นยนต์หรือซอฟต์แวร์ที่ชาญฉลาดแย่งไปทำแทน ขณะที่การศึกษาของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดชี้ว่า อีก 20 ปีข้างหน้า งานที่คนในสหราชอาณาจักรทำอยู่มากถึง 35% จะตกอยู่ในมือของหุ่นยนต์
ไม่เฉพาะในอังกฤษเท่านั้น ที่จีนตอนนี้กำลังมีการก่อสร้างโรงงานที่จะมีหุ่นยนต์เป็นแรงงานส่วนใหญ่ โดยโรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมืองตงกวน เป็นของบริษัท Shenzhen Evenwin Precision Technology ซึ่งตั้งใจว่าจะลดการใช้แรงงานที่มีอยู่ 1,800 คน ลงไปได้ถึง 90% ขณะที่โรงงานอีกราว 505 แห่งในเมืองนี้ ได้ใช้เงินลงทุนถึง 4,200 ล้านหยวน ผลิตหุ่นยนต์เพื่อนำมาใช้ทดแทนแรงงานคนได้มากถึง 30 % ในอีก 5 ปีข้างหน้า
ไม่เพียงแต่งานที่ต้องใช้แรงเท่านั้น งานอย่างการวิเคราะห์ข้อมูลก็มีแนวโน้มว่าไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแต่มนุษย์อีกต่อไป โดยบริษัท Narrative Science ได้ผลิตซอฟต์แวร์ Quill ที่สามารถศึกษาข้อมูลและนำมาเรียบเรียงให้คนทั่วไปอ่านเข้าใจได้ ที่ผ่านมามีการใช้ Quill เขียนรายงานผลประกอบการให้บริษัทหลายแห่ง และเป็นไปได้ที่จะมีการใช้ซอฟต์แวร์อย่าง Quill ช่วยเขียนรายงานผลประกอบการให้อีกนับพันบริษัท
นักวิทยาศาสตร์ของ Narrative Science เองเคยออกมาระบุว่า ในอีก 15 ปีข้างหน้า ข่าวที่นักข่าวเคยเป็นคนเขียนกันอยู่ตอนนี้ 90% จะมีระบบปฏิบัติการมาช่วยเขียน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านักข่าวจะตกงานกันถึง 90% แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ นักข่าวจะมีโอกาสไปหาข่าว ขยายขอบเขตเนื้อหาที่ต้องการรายงานได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ส่วนงานประเภทข้อมูลประกอบการเขียนชนิดที่ไม่ต้องมีการตีความ หรือเป็นข้อมูลที่ชัดเจนอยู่แล้ว ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของระบบปฏิบัติการไป
ที่สหรัฐฯ ตอนนี้ โรงพยาบาลหลายแห่งใช้ Watson ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของไอบีเอ็มช่วยให้คำปรึกษาในการรักษาโรคมะเร็งหลากชนิด เพราะซอฟต์แวร์วิเคราะห์ภาพที่ไอบีเอ็มพัฒนาขึ้นสามารถตรวจจับอาการโรคมะเร็งผิวหนังระยะเริ่มต้นได้ ขณะเดียวกันโรงพยาบาล Guy’s and St Thomas ในอังกฤษ ก็ใช้หุ่นยนต์ช่วยแพทย์ทำการผ่าตัดโดยใช้เครื่องมือขนาดเล็กสอดลงไปในรูใต้ผิวหนังในการผ่าตัดเปลี่ยนไตมาแล้วหลายปี หุ่นยนต์สามารถเย็บเส้นเลือดเพื่อสมานรอยต่อของไตบริจาคกับร่างกายคนไข้ได้เร็วกว่าหมอ
อย่างไรก็ดี การใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดใช่ว่าจะประสบผลสำเร็จเสมอไป มีรายงานความปลอดภัยที่เผยแพร่ออกมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ชี้ว่า การผ่าตัดที่ใช้หุ่นยนต์เป็นเครื่องช่วยเป็นหลักนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของคนไข้ราว 144 รายในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้
ปัจจุบันนี้แพทย์กับหุ่นยนต์ยังทำงานควบคู่กันไป แต่ เจอร์รี แคปแลน ผู้แต่งหนังสือ Humans Need Not Apply บอกว่า ท้ายที่สุดแล้วหากพิสูจน์ได้ว่าหุ่นยนต์เป็นทางเลือกที่ดีกว่า คนไข้ก็อาจยอมเสียเงินสักหน่อย ไปพบหุ่นยนต์ที่สามารถเอาใจใส่ดูแลได้มากกว่า ดีกว่าไปพบแพทย์ที่ยุ่งอยู่กับงานที่ล้นมือ
นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ของงานที่สามารถใช้หุ่นยนต์เป็นเครื่องช่วย แต่หากหุ่นยนต์มาทำงานแทนมนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ มนุษย์เราจะทำอะไรกันต่อไปดี เมื่อทักษะที่มีอยู่ไม่เป็นที่ต้องการเสียแล้ว
มาร์ติน ฟอร์ด ผู้แต่งหนังสือ Rise of the Robots คิดว่า หากไม่มีการปรับเปลี่ยนอย่างถอนรากถอนโคนในเรื่องการกำหนดค่าจ้างหรือรายได้ขั้นต่ำ ก็คงเกิดปัญหาคนว่างงานอย่างหนักและเศรษฐกิจคงล่มไม่เป็นท่า ขณะที่ ศ. เนลโล คริสเตียนิ ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ แห่งมหาวิทยาลัยบริสตอล บอกว่า “ผมยังหวังว่าอาชีพอย่าง ครู หมอ และผู้พิพากษา ยังคงเป็นงานที่มนุษย์ทำเป็นหลัก เพราะบางครั้งเราก็ต้องการพูดคุยกับคนด้วยเหมือนกัน”
ผู้อ่านล่ะครับ คิดว่าอาชีพของคุณมีโอกาสจะถูกหุ่นยนต์มาทำแทนที่บ้างหรือไม่ ‪#‎AI‬

 
Top