เอ็นจีโอสิทธิเสนอให้จัดหาทนายให้ผู้ต้องหาคดีระเบิดราชประสงค์ เผยเข้าสู่กระบวนการด้านอาญาแล้วต้องทำ ชี้จัดการคดีต้องโปร่งใสยุติธรรมเพื่อตัดตอนการล้างแค้นในอนาคต
นางชลิดา ทาเจริญศักดิ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิศักยภาพชุมชนเปิดเผยว่า ทางกลุ่มนักกิจกรรมตลอดจนนักกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชนหลายกลุ่มได้หารือกันเรื่องความจำเป็นของการที่ไทยจะต้องจัดหาทนายความให้กับผู้ต้องหาว่าเกี่ยวพันกับการวางระเบิดที่ราชประสงค์ และล่าสุดได้นำเสนอเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงและที่เกี่ยวข้องซึ่งก็พบว่าได้รับการตอบรับด้วยดีคือเห็นด้วยในหลักการควรให้มีการจัดหาทนายให้สองคน และเห็นว่าขณะนี้ขั้นตอนในการดำเนินคดีเข้าสู่ช่วงของกระบวนการตามคดีอาญาคือหลุดพ้นจากการใช้มาตรการตามกฎหมายพิเศษแล้ว ดังนั้นสมควรที่จะให้ผู้ต้องหาได้ใช้สิทธิของตนเอง
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือควรจะต้องมีล่ามที่มีประสิทธิภาพและได้รับความไว้วางใจในการทำงานอย่างตรงไปตรงมา เพราะจะส่งผลต่อการสอบปากคำและคดีให้อำนวยความยุติธรรมได้มากขึ้น
นางชลิดากล่าวว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยต้องจัดการคดีระเบิดราชประสงค์ด้วยการยึดตามหลักสิทธิมนุษยชนและได้รับการยอมรับ ในกรณีที่พบว่ามีความผิดต้องพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนและลงโทษตามกฎหมาย ไม่เช่นนั้นอาจสร้างความเจ็บแค้นและขยายวงจรการแก้แค้นกันไม่จบสิ้น
นอกจากนั้นนางชลิดากล่าวด้วยว่า ทางเจ้าหน้าที่ควรจะต้องดูแลผู้ต้องหาให้ได้ปฎิบัติศาสนกิจตามหลักของศาสนาอิสลามด้วย
ผ.อ. มูลนิธิศักยภาพชุมชนกล่าวว่า ทางตนและกลุ่มนักรณรงค์เรื่องสิทธิได้หารือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงในเรื่องความมั่นคงแล้วและได้มีการนำเสนอว่า เจ้าหน้าที่ควรปรับหลักปฏิบัติหลายเรื่องที่เข้มงวดกับกลุ่มคนที่อยู่ในการกักตัว ไม่ว่าจะเป็นผู้ต้องหา หรือผู้หนีภัยที่เจ้าหน้าที่กักตัวอยู่ อย่างเช่นกรณีของชาวอุยกูร์จำนวน 59 คนที่ยังไม่ชัดเจนว่าจะส่งตัวให้กับใคร และที่ผ่านมาไม่มีใครได้เข้าเยี่ยมพวกเขา กลุ่มนักสิทธิเสนอว่า ทางการควรจะยินยอมให้คนที่ทำงานทางด้านสิทธิมุนษยชนและเพื่อมนุษยธรรมได้เข้าเยี่ยมคนเหล่านี้ แต่ให้มีการควบคุม มีการกำหนดระเบียบหลักเกณฑ์ชัดเจนและตรวจสอบได้ ซึ่งผลการพูดคุยกัยเจ้าหน้าที่ล่าสุดมีการตกลงร่วมกันว่า เจ้าหน้าที่จะจับมือทำงานร่วมกับกลุ่มองค์กรสิทธิต่างๆให้ใกล้ชิดมากขึ้นเพื่อให้การจัดการเกี่ยวกับกรณีผู้หนีภัย ผู้ต้องสงสัยและผู้ต้องหาเป็นไปอย่างสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ

 
Top