0
จาตุรนต์เรียกร้องให้ประชาชนลงประชามติร่าง รธน. ได้อย่างเสรี วอนเปิดให้มีทางเลือกมากกว่ารับหรือไม่รับ

ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรีและแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญว่า ขณะนี้มีการเสนอให้กำหนดประเด็นคำถามพ่วงไปกับการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ เช่น เสนอให้นำประเด็นเรื่องบทเฉพาะกาล ประเด็น ส.ว.สรรหามาถามไปด้วย ซึ่งตนคิดว่า ประเด็นที่ควรถามประชาชนในการทำประชามติ ควรเป็นประเด็นใหญ่ ๆ และสำคัญมาก ๆ ซึ่งถ้าจะทำจริง ๆ จะเป็นประโยชน์

"ประเด็นที่ควรจะถาม อันแรกที่แน่นอน คือ เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่ ควรมีคำถามพ่วงว่า เห็นด้วยกับบทเฉพาะกาลหรือไม่ ถ้าต้องการถาม เรื่อง ส.ว.สรรหา ควรจะถามว่า ส.ว.ควรมาจากการแต่งตั้ง หรือ เลือกตั้ง และเรื่องที่ยังขาดอยู่ควรต้องถาม คือ ถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านความเห็นชอบ จะให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว หรือไม่ และภายใต้กติการัฐธรรมนูญฉบับใด ถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน จะให้มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ โดย คสช.ยกร่างเอง หรือ ให้ตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ หรือ จะให้ประชาชนเลือกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ขึ้นมาร่าง"

นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ประเด็นเหล่านี้ ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งทำให้การลงประชามติที่มีขึ้นเป็นการลงประชามติที่ประชาชนไม่มีทางเลือก เหมือนกับเป็นการมัดมือชก ถ้าไม่ผ่านอาจได้รัฐธรรมนูญที่เลวร้ายกว่าเดิม ซึ่งคล้ายกับการลงประชามติในปี 2549 แต่การลงประชามติครั้งนี้ ยิ่งมีความไม่เสรี และไม่เป็นธรรมยิ่งกว่านั้นไปอีกมาก เพราะว่ายังคงใช้มาตรา 44 จำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นด้วย นอกจากนั้น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังเปลี่ยนร่างกฎหมายทำประชามติ ในลักษณะที่ไปปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย กฎหมายนี้ ถ้าออกมาตามแนวที่มีการชี้แจง จะมีผลอย่างรุนแรง โดยเฉพาะเมื่อมีการเริ่มดำเนินคดีกับผู้ที่ไม่เห็นด้วยเพียงไม่กี่คน ก็จะทำให้เกิดความหวาดกลัว เพราะไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วจะเกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะกำหนดบทลงโทษหนัก สำหรับการบิดเบือน ปลุกระดม หรือการจูงใจให้มีการออกเสียงไปในทางใดทางหนึ่ง ซึ่งแน่นอนถ้าจูงใจพูดในทางสนับสนุนก็จะไม่มีความผิดใด ๆ แต่ปัญหาอยู่ที่ถ้าไม่เห็นด้วย จะถูกลงโทษจำคุก 10 ปี บวกความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ อีก 5 ปี อย่างนี้เป็นการปิดกั้นเสรีภาพอย่างร้ายแรง

นายจาตุรนต์ยังกล่าวว่า การลงประชามติครั้งนี้ทำโดยเงื่อนไขกติกาที่ไม่สมบูรณ์ เพราะให้ลงประชามติแค่ให้ผ่านหรือไม่ผ่าน โดยประชาชนไม่มีทางเลือกอื่น ซึ่งไม่ใช่การทำประชามติที่ดีที่ต้องให้ประชาชนมีทางเลือก ให้ประชาชนตัดสินใจได้ด้วย แต่ที่เป็นอยู่นี้ เหมือนกับให้ประชาชนเลือกว่า จะเอาอย่างที่ กรธ.ทำตามคสช. หรือจะเอาอย่างที่ คสช.ทำเอง มันอาจเป็นการให้เลือกระหว่างสิ่งที่ไม่ชอบกับสิ่งที่ประชาชนรังเกียจเท่านั้น ดังนั้น การเพิ่มประเด็นคำถามพ่วงไปกับการทำประชามติจึงเป็นทางออกที่ดีกว่า

ด้านนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความเห็นเกี่ยวกับข้อเสนอในการปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญว่า การที่ กรธ.จะพิจารณาข้อเสนอของ คสช.เกี่ยวกับบทเฉพาะกาลในวันที่ 21 มี.ค.นี้ คงสร้างความหนักใจให้กับ กรธ. เพราะมีทั้งเสียงที่เห็นด้วยและคัดค้าน จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ตนจึงอยากให้กำลังใจ กรธ.ให้มีจิตใจมั่นคง เป็นตัวของตัวเอง มีจิตสำนึกคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าของคนใดคนหนึ่ง ซึ่งตนเชื่อมั่นว่า กรธ.เป็นผู้ทรงคุณวุฒิน่าจะพิจารณาได้ว่า ข้อเสนอของ คสช.มีความเหมาะสมแค่ไหน สมควรจะบัญญัติไว้แค่ไหนอย่างไร ขอให้พิจารณาอย่างรอบคอบและรอบด้านเพื่อให้บทเฉพาะกาลได้รับการยอมรับจากประชาชน

นายองอาจ กล่าวอีกว่า ถ้า กรธ.หยิบเอาข้อเสนอของ คสช.ทั้งหมดมาบรรจุในร่างรัฐธรรมนูญ ก็เชื่อว่าการผ่านประชามติจะลำบากมากขึ้นและเป็นระเบิดเวลาผูกติดรัฐธรรมนูญอีกนาน ไม่เป็นผลดีต่อการทำให้บ้านเมืองเดินหน้า สำหรับท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์จะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญนั้น ต้องดูร่างสุดท้ายที่ออกมาว่าจะมีการปรับแก้อย่างไร โดยเฉพาะในบทเฉพาะกาลว่าจะมีการบรรจุเนื้อหาตามที่ คสช.เสนอมาหรือไม่


แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

 
Top