0

Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์
ประธาน นปช.โต้ "ไก่อู" ถามมาตอบตรง จุดยืนคือ ประชาธิปไตย ไม่รับใช้ใครคนใดคนหนึ่ง ย้อนแล้วจุดยืนไก่อูคืออะไร ทำไมไม่อธิบายความจริงของนายทหาร 2 คน ที่เป็นคนสำคัญร่วมยึดอำนาจเข้าไปพัวพันแอบอ้างเบื้องสูงหาประโยชน์หรือไม่ เตือน "วิษณุ" ยื้อคดีฟิลลิป มอร์ริส เลี่ยงภาษี ย้ำมีหลักฐานไทยแพ้คดี WTO แสดงออกมา อย่ามัวแต่รำวง
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการมองไกล ผ่านยูทูป เมื่อ 8 พฤศจิกายน โดยระบุถึงจุดยืนทางการเมืองเพื่อตอบโต้ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกสำนักนายกรัฐมนตรีว่า ตนมีจุดยืนเพื่ออุดมการณ์ประชาธิปไตยชัดเจน เปิดเผย และไม่รับใช้ใครคนใดคนหนึ่ง รวมทั้งไม่ได้ต่อสู้ทางการเมืองเพื่ออดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร แต่สู้เพื่อประชาธิปไตยของประชาชน
"ผมไม่มีหน้าที่สอพลอคน ในชีวิตไม่เคยเรียกใครเป็นนาย แต่เรียกตามตำแหน่งหน้าที่เพื่อให้เกียรติ ผมจึงไม่สับสนในจุดยืน ซึ่งเหมือนเดิม คือ ประชาธิปไตย และไก่อูจุดยืนคืออะไร ความดี-เลว เอาอะไรมาวัดกัน ยอมรับหรือไม่ว่า ปัญหาประเทศแก้ไขกันไม่ได้ ดังนั้น อย่ามาพูดสวยหรู ต้องการแก้ปัญหาประเทศ และคืนความสุขให้คนไทยทั้งชาติ สุขกันตายละ อะไรที่เคยปรามาสคนอื่น ต้องทำให้ดีกว่าเขา ไก่อูต้องรู้อย่างหนึ่งว่า ผมพยายามประคับประคอง หลีกเลี่ยงที่จะพูดให้กระทบความมั่นคงของชาติ กรณีการย้ายตำรวจทำคดีค้ามนุษย์ เพื่อโชว์อียู เมื่อกำลังจะขอหมายจับทหาร ก็ถูกย้ายไปชายแดนใต้ หากถูกล็อกเป้ารอดยาก การลงไปชายแดนใต้ก็ส่งไปตาย จึงต้องลาออกจากราชการ พูดความจริงสิ มาจากเรื่องนี้หรือไม่"
หลังจากนายจตุพร เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)และนายกรัฐมนตรี แสดงจุดยืนในการปกป้องสถาบันเบื้องสูงกรณีนายทหาร 2 นาย ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการยึดอำนาจทางการเมืองเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 ถูกกล่าวหาพัวพันแอบอ้างไปหาประโยชน์ จนต้องหนีออกนอกประเทศ แต่ พล.ต.สรรเสริญ ชื่อเล่นว่า "ไก่อู" ได้ตอบโต้ว่า นายจตุพรที่มีจุดยืนทำเพื่อคนเดียวนั้น เปลี่ยนแปลงแล้วหรือยัง
นายจตุพร โต้ว่า จุดยืนของตนไม่เหมือนของไก่อู ที่ต้องรับคำสั่งซ้ายหันขวาหัน เพราะเป็นทหาร แต่เหตุการณ์แอบอ้างเบื้องสูงนั้น ไก่อูควรรับรู้ด้วยว่า สื่อรายงานไปไกลถึงการหาผลประโยชน์จากค่าหัวคิวกันอย่างไร และลุกลามจากโครงการไบท์ฟอร์มัมไปสู่อุทยานราชภักดิ์แล้ว รัฐบาลกลับแถลงว่า ไม่พบทหารทำผิด แต่มีนายทหาร 2 คน ถูกกล่าวหา ซึ่งเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ พล.อ.ประยุทธ์ และยังเป็นกำลังสำคัญในการยึดอำนาจ ดังนั้น เมื่อปัดไม่พ้น เกิดจวนตัวขึ้นมา จึงต้องกลับมาถามหาจุดยืนของตน
นายจตุพร กล่าวว่า งานเกี่ยวกับเบื้องสูง จากไบท์ฟอร์มัมถึงอุทยานราชภักดิ์ ต้องสะอาด ปราศจากมลทินมัวหมอง โครงการแบบนี้ บังอาจกล้าทำไปอย่างไร ที่สำคัญคือ การทำดังกล่าวกระทบกระเทือนจิตใจประชาชน สื่อรายงานการกินหัวคิวเต็มไปหมด โดยเฉพาะรูปปั้นรัชกาลที่ 5 สื่อยังระบุว่า กินกันถึง 12 ล้านบาท
ประธาน นปช. กล่าวว่า กรณีหัวคิวอุทยานราชภักดิ์ไม่ได้เกิดจากตน แต่สื่อรายงานกันทั่วไปและยังไปไกลมาก ดังนั้น เรื่องนี้ต้องพูดความจริง โดยต้องใช้ชาติเป็นตัวตั้ง หากเอาความคิดบุคคลเป็นตัวตั้ง ปัญหาชาติบ้านเมืองก็แก้ไขไม่ได้ ตนเคยเสนอแนะกรณีการปรับทัศนะคติมาแล้ว ว่าควรให้ทั้งทหารและประชาชนปรับเข้าหาชาติจึงจะแก้ปัญหาได้
ส่วนนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญไปสังกัดในหมวดตุลาการ ไม่ใช่เป็นองค์กรอิสระนั้น นายจตุพร กล่าวว่า ตนไม่เห็นด้วย เพราะไม่รู้จะเอาประธานศาลฎีกาไปไว้ที่ไหน เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญจะกลายเป็นอำนาจที่ 4 เหนือกว่า 3 อำนาจ คือ ศาลยุติธรรม นิติบัญญัติ และบริหาร
นายจตุพร กล่าวว่า ศาลรัฐธรรมนูญเป็นศาลการเมือง ประชาชนจึงวิจารณ์ได้ แต่ศาลรัฐธรรมนูญทำหน้าที่ขององค์กรอิสระที่ผ่านมาเต็มไปด้วยความสงสัย โดยใช้อำนาจตีความแก้ไขรัฐธรรมนูญเสียเอง แทรกแซงประชาธิปไตยชัดเจน คำวินิจฉัยยังช่วยบางพรรคการเมือง แต่อีกพรรคหนึ่งไม่ผิดก็ทำให้ผิดได้ หากให้ไปอยู่ในหมวดตุลาการแล้ว ประชาชนวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ จะถูกปิดปากทันที
นอกจากนี้ นายจตุพร ยังกล่าวถึงนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย กรณีปกป้องบรัษัท ฟิลลิป มอร์ริส ประเทศไทย จำกัด เลี่ยงภาษีนำบุหรี่เข้าประเทศว่า นายวิษณุอ้างถึงบริษัทฟิลลิป มอร์ริสฟ้องไทยต่อองค์การการค้าโลก (WTO) แล้วไทยแพ้คดีนั้น บริษัทฟิลลิปฯยังไม่เคยฟ้องประเทศไทยเลย แล้วจะมาชนะคดีได้อย่างไร สิ่งสำคัญคือ สำนักอัยการสูงสุด ซึ่งมีหน้าที่ต่อสู้คดีให้ประเทศนั้น ยังไม่เคยกล่าวถึงคดีนี้ แต่อธิบดีอัยการสูงสุดถึง 3 คน ล้วนมีคำสั่งเด็ดขาดตรงกันว่า ให้ฟ้องบริษัท ฟิลลิป มอร์ริส ต่อศาลเพื่อเรียกให้ชดใช้ความเสียหายตามมูลค่ากว่า 68,000 ล้านบาท แต่เมื่อรวมโทษปรับด้วยเป็นเงินสูงถึง 2.7 แสนล้านบาท
นายจตุพร ย้ำว่า ถ้านายวิษณุมีหลักฐานบริษัท ฟิลลิป มอร์ริส ฟ้องไทยจริง ควรแสดงออกมา เพราะการหลบเลี่ยงภาษีเป็นผลประโยชน์มหาศาล หากไม่ได้ฟ้องต่อศาลไทยแล้ว ก็ไม่เข้าข่ายมีโทษปรับเป็นมูลค่า 2.7 แสนล้านบาท ดังนั้น นายวิษณุจึงทำทุกวิธีทาง แสดงความเห็นแบบรำวง มุดมาวนไปเรื่อยๆ ยื้อไม่ให้อัยการนำตัวผู้ต้องหาไปฟ้องศาล เพื่อไม่จ่ายความเสียหายตามโทษปรับ ซึ่งตามสำนวนไทยว่า จ่ายแพงกว่าทำไม
ประธาน นปช. ถามนายวิษณุว่า เอาอะไรมาเดิมพันในชีวิต มีแต่ใช้ทำเนียบรัฐบาลประชุมหาทางยื้อการฟ้องคดีต่อศาลถึงสองครั้ง เพราะเงินปรับจำนวน 2.7 แสนล้านบาท มากมาย และตลอดเวลากว่า 5 เดือนที่ผ่านมา คนระดับมือกฎหมายผู้เชี่ยวชาญยังสงสัยข้อมูลอีกหรือ ดังนั้น หากเรื่องนี้ทำให้ประเทศฟ้องบริษัท ฟิลลิป มอร์ริสไม่ได้แล้ว สำนักงานอัยการสูงสุดจะอยู่อย่างไร และหากกรณีนี้เกิดความเสียหายขึ้นมา ตนอาจไปถึงทำเนียบรัฐบาลก็ได้

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

 
Top