เครือข่ายคณาจารย์ผู้ห่วงใยศิษย์ที่ถูกคุมขัง
แถลงการณ์เครือข่ายคณาจารย์ผู้ห่วงใยศิษย์ที่ถูกคุมขังฉบับที่ 7
หยุดอ้างกฎหมายที่ไร้ความชอบธรรมข่มขู่คุกคามประชาชน
ตามที่เครือข่ายคณาจารย์ผู้ห่วงใยศิษย์ที่ถูกคุมขัง ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 6 พร้อมรายชื่อแนบท้าย 323 รายชื่อ และยื่นต่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องให้ยุติการคุกคามสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของนักวิชาการจำนวน 6 คนที่อ่านแถลงการณ์ “มหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร” รวมถึงเรียกร้องให้ยุติการข่มขู่คุกคามนักวิชาการที่แสดงความคิดเห็นทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ยุติการสั่งห้ามการจัดกิจกรรมทางการเมืองของนักศึกษาและประชาชน ตลอดจนยุติการแทรกแซงการเรียนการสอนในมหาวิทยาให้เป็นไปตามตามความต้องการของ คสช. โดยที่พลเอกประยุทธ์ได้ตอบคำถามของผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับข้อเรียกร้องของเครือข่ายคณาจารย์ฯ ตามที่ปรากฏเป็นข่าวนั้น
เครือข่ายคณาจารย์ผู้ห่วงใยศิษย์ที่ถูกคุมขัง มีความเห็นต่อบทสัมภาษณ์และท่าทีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ดังนี้
1. คำสั่ง คสช. ไม่ชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่ต้นเพราะเป็นผลของการฉีกรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ขาดความชอบธรรมเพราะไม่ได้รับการยินยอมจากประชาชนจำนวนมาก อีกทั้งยังขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศที่รับรองสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน พลเอกประยุทธ์จึงไม่สามารถอาศัยคำสั่ง คสช. ซึ่งผิดกฎหมายเป็นเกณฑ์ในการกล่าวหาว่าบุคคลกระทำผิดกฎหมาย หรืออาศัยเป็นหลักหมายให้บุคคลประพฤติปฏิบัติตามได้ การกล่าวหาว่านักวิชาการไม่เคารพหรือทำผิดกฎหมายโดยอาศัยคำสั่ง คสช. จึงสะท้อนทั้งการขาดความรู้ความเข้าใจหลักกฎหมายและการตำหนิตนเองของพลเอกประยุทธ์ในเวลาเดียวกัน
2. การที่พลเอกประยุทธ์กล่าวว่าการแสดงความเห็นของนักวิชาการอาจเป็นเหตุให้มีผู้มายิงหรือปาระเบิดใส่จนล้มตายเป็นคำกล่าวที่มีลักษณะข่มขู่คุกคามแม้จะอ้างว่าตนจะไม่เป็นผู้กระทำก็ตาม เพราะเป็นคำกล่าวที่มีลักษณะยั่วยุชี้นำและสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำผิดกฎหมาย ซึ่งในฐานะผู้นำประเทศการกล่าวโดยไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบเช่นนี้จะยิ่งส่งผลเสียหายให้กับประเทศเป็นทวีคูณ
3. การเปิดโอกาสให้บุคคลได้แสดงความคิดเห็นอย่างแตกต่างหลากหลายเป็นคุณลักษณะพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย หาได้เป็นความสับสนวุ่นวายดังที่พลเอกประยุทธ์เข้าใจไม่ การแสดงความเห็นและเสนอข้อมูลอย่างสันติและไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่นของนักวิชาการรวมถึงนิสิตนักศึกษาและประชาชนเพื่อให้สังคมมีมุมมองรอบด้านเพื่อแสวงหาทางออกร่วมกันซึ่งดำเนินมาในทุกรัฐบาลจึงเป็นวิถีทางประชาธิปไตยที่ไม่ได้เป็นเหตุแห่งความสับสนวุ่นวายแต่อย่างใด จะมีก็แต่รัฐบาลเผด็จการที่ลุแก่อำนาจและไม่ยอมฟังเสียงใครเท่านั้นที่จะเห็นเป็นอื่นได้
4. เครือข่ายคณาจารย์ฯ ขอให้ คสช. หยุดการดำเนินคดีและการข่มขู่คุกคามการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองโดยสุจริตและอย่างสันติของอาจารย์รวมถึงนิสิตนักศึกษาและประชาชน แทนที่ คสช. จะเรียกประชาชนที่เห็นแตกต่างไป “ปรับทัศนคติ” เครือข่ายคณาจารย์ฯ เห็นว่า คสช. ควรเรียนรู้ที่จะ “แลกเปลี่ยนทัศนคติ” กับประชาชนที่เห็นต่างอย่างเสมอหน้าจึงจะสร้างสรรค์กว่า
ด้วยความเชื่อมั่นในสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค
เครือข่ายคณาจารย์ผู้ห่วงใยศิษย์ที่ถูกคุมขัง
25 พฤศจิกายน 2558
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น