0

ทูตสหรัฐฯ: ไทยจะเปลี่ยนแปลงได้ก็ด้วยตัวเองเท่านั้น แต่เราเชื่อว่ากระบวนการนั้นประชาชนควรมีส่วนร่วม
ทูตสหรัฐฯคนใหม่ กลิน ที เดวีส์ กล่าวถึงความสัมพันธ์สหรัฐฯกับไทยในการพบปะกับผู้สื่อข่าวที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศค่ำวันพุธที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยเขาย้ำว่าสหรัฐฯอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตยแต่ว่าจะไม่ก้าวก่าย เขาบอกว่ารัฐบาลสหรัฐฯต้องการคงความสัมพันธ์อันดีกับไทยที่เป็นพันธมิตรเก่าแก่เอาไว้ แต่อีกด้านก็มีคำถามจากผู้สื่อข่าวว่า สหรัฐฯจะมีส่วนอย่างไรในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในไทย
หลังจากที่คสช.รัฐประหาร สหรัฐฯและชาติตะวันตกแสดงท่าทีชัดเจนต้องการเห็นไทยกลับไปสู่ระบอบประชาธิปไตย มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง นายเดวีส์ย้ำจุดยืนเดิมของสหรัฐฯ แต่ขณะเดียวกันก็บอกว่า สหรัฐฯจะไม่ “ชี้นิ้วสั่งการ” เพราะนั่นเป็นความผิดพลาดและเป็นวิธีการเก่าๆ เขายืนยันว่าสหรัฐฯไม่ได้พยายามจะให้ไทยเป็นประชาธิปไตยแบบสหรัฐฯเพราะที่นั่นเองก็มีจุดบกพร่อง แต่ขณะเดียวกันเขาก็บอกว่า คุณค่าสำคัญของประชาธิปไตยเป็นคุณค่าพื้นฐานที่ใช้ได้ทั่วไป ไม่ใช่กับสหรัฐฯเท่านั้น ขณะที่นายเดวีส์บอกว่าการเปลี่ยนแปลงใดๆในไทยต้องมาจากภายในประเทศไทยเอง และสิ่งที่สหรัฐฯอยากเห็นคือประเทศไทยที่เข้มแข็ง ก้าวไปข้างหน้าได้ แต่อีกด้านเขาก็บอกว่า การจะทำเช่นนั้นได้เขาเชื่อว่า ประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ มีกระบวนการที่เปิดกว้างให้กับทุกคน
“ประเทศไทยกำลังพบกับความท้าทาย” เขาว่า แต่เขาก็หวังว่าเส้นทางนี้จะสั้นและผ่านไปอย่างรวดเร็ว และหลังจากนั้นไทยจะก้าวออกจากปัญหาในสภาพที่เข้มแข็งขึ้น “ประชาชนจะเป็นคนทำให้ประเทศนี้เข้มแข็ง พวกเขาควรมีบทบาท กระบวนการที่จะเดินไปข้างหน้าต้องรวมทุกคนไว้ด้วยกัน ให้มีการถกเถียงกันอย่างเปิดเผย เราเชื่อในเสรีภาพของการแสดงความคิดเห็น”
นายเดวีส์แสดงความเป็นห่วงเรื่องการลงโทษผู้ที่แสดงความเห็นหรือแสดงออกอย่างสงบ เขาบอกว่าเป็นห่วงเรื่องที่ศาลทหารตัดสินคดีพลเรือน จำคุกคนอย่างยาวนานในคดีหมิ่นตามมาตรา 112 เขาชี้ว่า คนที่แสดงความเห็นอย่างสงบไม่ควรจะถูกลงโทษด้วยการถูกขังคุก พร้อมกับแสดงความเป็นห่วงเรื่องการใช้กฎหมายหมิ่นในการกดดันไม่ให้มีการแสดงออก
เขาแสดงความดีใจที่ศาลยกฟ้องคดีกองทัพเรือฟ้องร้องนสพ.ภูเก็ตหวานเรื่องที่ลงข่าวพาดพิงในปัญหาค้ามนุษย์ และระบุว่าเป็นภาพสะท้อนของการที่ไทยยังยึดมั่นในเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและขอให้ปกป้องต่อไป
ทูตสหรัฐฯระบุว่า สหรัฐฯยังคงระดับความสัมพันธ์กับไทยไว้เช่นที่ผ่านมาหลังเกิดรัฐประหาร ความร่วมมือหลายด้านยังเดินหน้าต่อไปเช่นเดียวกันกับแผนการซ้อมรบร่วมต้นปีหน้า แต่ก็ยังระงับความช่วยเหลือด้านการทหาร 4.9 ล้านดอลลาร์ต่อไปจนกว่าจะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เมื่อพูดถึงความสัมพันธ์ เขาท้าวความไปไกลว่าสองประเทศเป็นพันธมิตรกันได้เพราะต่างก็เห็นความสำคัญซึ่งกันและกัน เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ได้มาจากรากฐานของการใช้อำนาจ แต่เห็นคุณค่าในความเป็นอิสระ ความเชื่อมั่นในเสรีภาพ เขาแสดงความเชื่อมั่นว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ได้หายไปจากสังคมไทย พร้อมกันนั้นก็กล่าวย้ำหลายครั้งว่าสหรัฐฯชื่นชมและเคารพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
นายเดวีส์เพิ่งรับหน้าที่ได้ 9 สัปดาห์ เขาบอกว่าในเวลาเพียงแค่นี้เขาได้พบกับผู้คนจำนวนมาก “ผมอัศจรรย์ใจกับความสนใจที่ผู้คนให้กับผม” ทูตคนใหม่ของสหรัฐฯย้ำตลอดเวลาว่า เขาต้องการรู้จักไทยมากขึ้น และต้องการรู้ว่าคนไทยทั่วไปคิดอย่างไร พร้อมกับบอกว่ามีแผนจะเดินทางไปพบปะคนไทยในแต่ละพื้นที่ในเวลาต่อไป
ท่าทีของนายเดวีส์ที่เน้นย้ำความอ่อนน้อมถ่อมตนตลอดเวลา ทำให้มีผู้สื่อข่าวบางรายตั้งคำถามว่า ท่าทีของทูตสหรัฐฯดูจะเปลี่ยนไปจากทูตคนเดิมจนดูเหมือนว่าสหรัฐฯกำลังเปลี่ยนแนวทางในการทำงานกรณีประเทศไทยหรือไม่ และทั้งหมดนี้เป็นเพราะสหรัฐฯกลัวว่าไทยจะไปใกล้ชิดจีนมากเกินไปหรือไม่ แต่นายเดวีส์ยืนยันว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้น เพียงแต่วิธีการทำงานอย่างที่ว่าเป็นวิธีที่เก่าไปแล้ว ในส่วนการคบหากับจีนนั้น สหรัฐฯยินดีมากกว่าที่ไทยใกล้ชิดกับจีนมากกว่าอย่างอื่น เพราะว่าทุกวันนี้โลกอยู่ในสถานการณ์ใหม่ ผู้สื่อข่าวบางรายถามว่า นายเดวีส์เชื่อจริงหรือไม่ว่าผู้คนที่เขาพูดคุยด้วยนั้นรับฟังเขา และได้รับคำตอบว่า เป็นเช่นนั้น เพราะเขาได้แลกเปลี่ยนความเห็นกับหลายๆคน และได้ส่งผ่านความคิดเห็นจากรัฐบาลสหรัฐฯมาสู่ฝั่งไทย พร้อมกับรับฟังทางไทยไปในเวลาเดียวกัน


แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

 
Top