ตร.ส่งสำนวนคดี 'อรรถจักร์-สมชาย ปมแถลง 'มหาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร' ให้อัยการศาลทหาร
Posted: 02 Jun 2016 01:58 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
สองนักวิชาการเชียงใหม่เตรียมตั วขึ้นศาลทหาร หลังตำรวจเสนอสำนวนต่ออั ยการศาลทหาร คณาจารย์มช. รุดเยี่ยมนักต่อสู้เพื่อสิทธิที ่ดินย้ำปฏิรูปที่ดินไม่เกิดขึ้ นใต้การปกครองที่ไม่เป็นประชาธิ ปไตย
ศ.ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ และ รศ. สมชาย ปรีชาศิลปกุล
2 มิ.ย. 2559 จากกรณีที่ “เครือข่ายคณาจารย์มหาวิทยาลัย” ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 31 ต.ค. ที่ผ่านมา เรื่อง มหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร ยืนยันในเสรีภาพที่ จะแสวงหาความรู้ในการเรี ยนการสอน แต่คณาจารย์ที่ร่วมกันแถลงกลั บถูกออกหมายเรียกจากเจ้าหน้าที่ ตำรวจในข้อหา “ร่วมกันมั่วสุมหรือชุมนุ มทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป อันเป็นการฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั ่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรี ยบร้อยแห่งชาติ” ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีหรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (รายละเอียดเพิ่มเติม)
ล่าสุด บีบีซีไทย - BBC Thai รายงานว่า เช้าวันนี้ (2 มิ.ย.59) ที่ศาลมณฑลทหารบกที่ 33 ค่ายกาวิละ เชียงใหม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ นำสำนวนการสอบสวนส่งให้กับอั ยการของศาลทหารในคดีที่เจ้าหน้ าที่เสนอให้สั่งฟ้องนักวิ ชาการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่สองคน คือ ศ.ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ และ รศ. สมชาย ปรีชาศิลปกุล ผู้ต้องหาคดีดังกล่าว ซึ่งอั ยการได้นัดฟังการตัดสินใจว่ าจะสั่งฟ้องหรือไม่ในวันที่ 6 ก.ค.นี้
โดยทีมทนายความของนักวิชาการทั้ งคู่ระบุว่า ในการเตรียมตัวสู้คดี ทนายความได้นำเสนอเอกสารหลั กฐานไปไม่น้อย รวมทั้งเสนอชื่อพยานไปสี่ปากเป็ นนักวิชาการทั้งสิ้น
อรรถจักร์ และ สมชาย กล่าวกับผู้สื่อข่าวบีบีซี ไทยภายหลังว่า ในห้วงเวลาที่ผ่ านมาตลอดจนในการพบปะกันหนนี้ได้ มีความพยายามที่จะไกล่เกลี่ย เนื่องจากคำสั่ง คสช.เองก็เปิดให้ทำได้ โดยไกล่เกลี่ยในรูปแบบจะให้ ลงนามในบันทึกความเข้าใจหรือเอ็ มโอยู ซึ่งไม่ต้องการลงชื่อ เนื่องจากเอ็มโอยูมีเนื้อหาให้ ยอมรับว่าสิ่งที่ได้ทำไปคื อการออกแถลงการณ์เรื่องเสรี ภาพในการแสดงออกเรื่อง “มหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร” เมื่อ 31 ต.ค.2558 เป็นความผิด เนื่องจากเจ้าหน้าที่ถือว่าเป็ นการชุมนุมทางการเมืองเกินห้าคน แต่ทั้งสองคนต่างยืนยันว่า ไม่ว่าเนื้อหาของแถลงการณ์ในวั นนั้น หรือการอ่านแถลงการณ์ไม่ใช่ การชุมนุมทางการเมือง เป็นการแสดงความคิดเห็นทางวิ ชาการอันเป็นเรื่องปกติที่นักวิ ชาการพึงทำ และไม่มีท่วงทำนองยั่วยุอย่างใด จึงไม่เข้าข่ายความผิดแม้จะยึ ดตามเนื้อหาของคำสั่ง คสช.เอง
สมชาย และ อรรถจักร์ ระบุว่า ในการเตรียมตัวต่อสู้คดีนี้ ตนยึดหลักว่าสิ่งที่ทำไม่ได้เป็ นความผิด ไม่ว่าจะโดยบรรทัดฐานในยามปกติ หรือในอารยะประเทศ “หากว่าสิ่งที่เราทำโดยบริสุทธิ ์ใจ ถ้ามันกลายเป็นความผิด เราสองคนก็จะยอมรับ แล้วสังคมก็จะตัดสินและตั้ งคำถามกันเอง” อรรถจักร์ กล่าว
ส่วน สมชายระบุว่า ขณะนี้มีประชาชนที่แสดงออก เคลื่อนไหว และถูกลงโทษทั้งที่ไม่สมควรถื อเป็นความผิดเป็นจำนวนมาก ในฐานะที่ตนเป็นนักวิชาการถือว่ ามีสถานะที่พิเศษมากกว่าคนอื่ นอยู่แล้ว “สิ่งที่น่ากังวลคือ ถ้าคนที่อยู่ในสถานะแบบนี้ยั งโดน คนที่แย่กว่าเราน่าจะโดนมาก เราเองอาจจะกังวลบ้าง แต่ที่น่าจะกังวลมากกว่าคือเรื่ องเสรีภาพ เพราะส่วนหนึ่งที่เราพยายามสู้ คือ เราพยายามจะเปิดช่องให้ การแสดงความเห็นมันเกิดขึ้นได้”
สมชาย กล่าวด้วยว่า ก่อนหน้านี้มีเพื่อนนักวิ ชาการด้วยกันอีก 6 คนที่ร่วมอ่านแถลงการณ์ด้วย แต่พวกเขาได้ลงนามในเอ็มโอยู ไปกับเจ้าหน้าที่ สำหรับการทำบันทึกความเข้าใจหรื อเอ็มโอยูกับเจ้าหน้าที่มักจะมี เงื่อนไขพ่วงเข้ามาด้วย เช่นห้ามการเคลื่อนไหวหรื อแสดงออกทางการเมือง ซึ่งคนส่วนหนึ่งลงนามในเอ็มโอยู แต่ไม่คิดว่าจะเปลี่ยนพฤติกรรม ในขณะที่คนอีกส่วนอยู่ในพื้นที่ ห่างไกล มีความอ่อนไหวต่อแรงกดดัน ไม่เหมือนคนที่อยู่ในพื้นที่ที่ สื่อให้ความสนใจมากอย่างเช่ นในกรุงเทพฯ
คณาจารย์มช. เยี่ยมนักต่อสู้เพื่อสิทธิที่ดิ นย้ำปฏิรูปที่ดินไม่เกิดขึ้นใต้ การปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
ขณะที่ สำนักข่าวประชาธรรม รายงานว่า วานนี้ (1 มิ.ย. 59) ที่เรือนจำลำพูน คณาจารย์คณะสังคมศาสตร์ - มนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เดินทางมาเยี่ยมแกนนำนักต่อสู้ เพื่อสิทธิที่ดินทำกินชาวบ้านบ้ านแพะใต้ ต.หนองล่อง อ.เวียงหนองล่อง จ.ลำพูน ที่ถูกตัดสินจำคุก7 คน เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ที่ผ่านมาจากกรณีพิพาทปัญหาที่ ดินทำกินกับนายทุนซึ่งต่อสู้ยื ดเยื้อมายาวนานถึง 19 ปี
สำหรับกลุ่มคณาจารย์มช.นำโดย รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณะนิติศาสตร์ ศ.ดร.อรรถจักร สัตยานุรักษ์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมด้วยอาจารย์และนักศึกษาร่ วม 10 คน เดินทางมาเยี่ยมให้กำลังใจกับนั กต่อสู้เพื่อสิทธิที่ดินทำกินจั งหวัดลำพูนที่ถูกตัดสินใจจำคุก 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา ได้แก่ 1.นายสุแก้ว ฟุงฟู 2.นายพิภพ หารุคำจา 3.นายสองเมือง โปยาพันธ์ 4.นายวัลลภ ยาวิระ 5.นายวัลลภ ไววา 6.นางคำ ซางเลง 7.นางบัวไร ซางเลง การเดินทางมาเยี่ยมครั้งนี้เพื่ อต้องการให้กำลังใจนักต่อสู้ทั้ ง 7 คน และอาจหาแนวทางช่วยเหลือ เยียวยา ตลอดจนถึงอาจต้องมีการทบทวนปั ญหาเรื่องที่ดินทำกินที่กำลั งเป็นปัญหาทั่วประเทศ
ผู้สื่อข่าวรายงานถึ งบรรยากาศการเยี่ยมพบว่า เมื่อนักต่อสู้เพื่อสิทธิที่ดิ นทำกินบ้านแพะใต้ทั้ง 7 คน พบคณาจารย์ ทนายความ และนักพัฒนาเอกชน ที่ต่อสู้ด้วยกันมาตลอดถึงกั บตาแดง น้ำตาไหล บางคนถึงกับร้องไห้ โดยนักต่อสู้รายหนึ่งกล่าวฝากถึ งพี่น้องที่ต่อสู้ด้วยกันมาให้ ทำหน้าที่ข้างหลังต่อจากนี้ให้ ดีที่สุด อย่าให้เป้าหมายหรืออุดมการณ์ เพื่อความเป็นธรรมต่อคนจนสูญหาย
สมชาย กล่าวภายหลังว่า หากพูดถึงปัญหาเรื่องสิทธิที่ ทำกินของชาวบ้าน เป็นปัญหาใหญ่ตลอดหลายสิบปีที่ ผ่านมา สิ่งสำคัญที่สุด คือ โครงสร้างของสังคมไทยขณะนี้ อยู่ภายใต้การปกครองของประเทศที ่ไม่เป็นประชาธิปไตย จึงยากมากที่จะทำให้เกิดการแก้ ไขเชิงโครงสร้างได้ ซึ่งเท่าที่สังเกตปีที่ผ่านมา ปัญหาเรื่องที่ดินชาวบ้านถู กนำมาดำเนินคดีเพิ่มขึ้น ชาวบ้านถูกจับกุมในหลายพื้นที่ แต่เรื่องกลับเงียบมาก
“กรณีบ้านแพะใต้ จ.ลำพูน เป็นปัญหาที่สั่งสมมานาน เแต่เราไม่มีความเข้มแข็งของสั งคมที่จะผลักเรื่องนี้ ผมคิดว่าเราควรจะได้เห็ นขบวนการต่อสู้ การเคลื่อนไหวผลักดันปัญหาที่มั นกว้างขวางกว่านี้ แต่การปฏิรูปที่ดิน การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมเกิ ดขึ้นไม่ได้ในสถานการณ์แบบนี้ เพราะการปฏิรูปมันหมายความว่าต้ องเกิดการปรับโครงสร้างสถาบันนั ้น ๆ ซึ่งมันจะต้องกระทบกับคนที่อยู่ ในนั้น ฉะนั้น เมื่อไหร่ที่เราพูดถึงการปฏิรูป มันต้องการแรงผลักจากทุกฝ่าย ซึ่งไม่ใช่แรงผลักจากผู้มี อำนาจอย่างเดียว แต่มันต้องการแรงผลักดันของสั งคม เช่น การออกภาษีที่ดิน ผมพนันได้เลย มันไม่ออกในรัฐบาลชุดนี้แน่ เพราะมันกระทบกับคนมีอำนาจ ซึ่งคนมีอำนาจก็อยู่ข้าง ๆ รัฐบาลนั้นแหละ”
“ส่วนการปฏิรูปมาตลอดในช่ วงสองปีที่ผ่านมา มันเป็นเพียงคำใหญ่ ๆ ที่ถูกนำเสนอในเชิงสร้างภาพลั กษณ์ที่ดีให้กับผู้ อำนาจทางการเมืองในขณะนี้เท่านั ้น การปฏิรูปไม่เกิดขึ้นตอนนี้ เพราะเราไม่มีแรงผลักจากสังคม และผมไม่เชื่อเรื่องการล็อบบี้” สมชาย กล่าวทิ้งท้าย
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น