เมื่อตุลาการเป็นใหญ่ฯ: สมชาย ปรีชาศิลปกุล-กำเนิดและความพลิ
Posted: 24 Apr 2016 09:13 PM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
“ในสังคมไทยสถาบันศาลยุติธรรมมี ระบบปิด ใกล้ชิดกับสถาบันจารีต ยอมรับระบบอำนาจนิยม เพราะฉะนั้นเมื่อศาลยุติ ธรรมเข้าครอบงำศาลรัฐธรรมนูญ จึงทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็นตุลาการเป็ นใหญ่ในแผ่นดิน’”
เสวนาวิชาการเรื่อง “เมื่อตุลาการเป็นใหญ่ในแผ่นดิ น” ในวันที่ 22 เมษายน 2559 ณ ห้อง LB1201 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
โครงการเสวนาวิชาการดังกล่าวมี วัตถุประสงค์เพื่อเพื่อเผยแพร่ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตุ ลาการภิวัตน์ และเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็ นและอภิปรายถกเถียงทางวิชาการ
งานนี้มีผู้ร่วมนำเสนอ 7 คน ได้แก่
โยชิฟูมิ ทามาดะ - ประชาธิปไตยกับตุลาการภิวัตน์
สายชล สัตยานุรักษ์ - มรดกทางประวัติศาสตร์และการบั งเกิด "ตุลาการภิวัตน์" ในรัฐไทย
กฤษณ์พชร โสมณวัตร - การประกอบสร้างอัตลักษณ์ตุ ลาการไทย: คุณธรรม สถานภาพ และอำนาจ
สมชาย ปรีชาศิลปกุล - กำเนิดและความพลิกผันของแนวคิ ดการเมืองเชิงตุลาการ
อายาโกะ โทยามะ - องค์กรอิสระกับการเมือง การวิเคราะห์เกี่ยวกับการคัดเลื อกกรรมการ
ปิยบุตร แสงกนกกุล - ตุลาการภิวัตน์วิธี
อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ - อนาคตของสังคมไทยภายใต้อำนาจตุ ลาการ
โยชิฟูมิ ทามาดะ - ประชาธิปไตยกับตุลาการภิวัตน์
สายชล สัตยานุรักษ์ - มรดกทางประวัติศาสตร์และการบั
กฤษณ์พชร โสมณวัตร - การประกอบสร้างอัตลักษณ์ตุ
สมชาย ปรีชาศิลปกุล - กำเนิดและความพลิกผันของแนวคิ
อายาโกะ โทยามะ - องค์กรอิสระกับการเมือง การวิเคราะห์เกี่ยวกับการคัดเลื
ปิยบุตร แสงกนกกุล - ตุลาการภิวัตน์วิธี
อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ - อนาคตของสังคมไทยภายใต้อำนาจตุ
00000
การบรรยายของสมชาย ปรีชาศิลปกุล หัวข้อ "กำนิดและความพลิกผันของแนวคิ ดการเมืองเชิงตุลาการ"
สมชาย ปรีชาศิลปกุล
ผมใช้คำว่า ‘การเมืองเชิงตุลาการ’ ที่เราเรียกกันว่า 1 ทศวรรษของตุลาการภิวัตน์นี้ จุดตั้งต้นคือเมื่อมีพระราชดำรั สของในหลวงเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 นี่เป็นหลักหมายที่สำคัญ หลังจากที่มีพระราชดำรัสเราก็ ได้เห็นการขับเคลื่อน มีการประชุมร่วมกันของศาลฎีกา ศาลปกครอง และศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะตี ความกฎหมายตามกระแสพระราชดำรัส และหลังจากนั้นเป็นต้นมาเราได้ เห็นความเปลี่ยนแปลง นี่เป็นสิ่งที่นักวิชาการปักหมุ ดและเป็นหลักหมายที่สำคัญต่ อการทำความเข้าใจ ประเด็นที่จะชวนอภิปรายมี 3 เรื่องสั้นๆ อันแรกคือตุลาการภิวัตน์กั บการเมืองเชิงตุลาการ อันที่สองคือความพลิกผันกับสิ่ งที่เรียกว่าการเมืองเชิงตุ ลาการ และอันที่สามคือบทเรียนของสั งคมไทย
เรียก 'การเมืองเชิงตุลาการ' แทน 'ตุลาการภิวัตน์'
เรื่องแรก สิ่งที่เราเรียกกันว่าตุลาการภิ วัตน์ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Judicialization of Politic คล้ายกับปรากฏการณ์ที่ศาลต้ องขยายบทบาทเพิ่มมากขึ้น เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้ นในระดับโลกตั้งแต่หลั งสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา เพราะว่าหลังจากสงครามโลกครั้ งที่สองเป็นต้นมา ในหลายประเทศพบกับปัญหาเผด็ จการของผู้ปกครองที่มาจากการเลื อกตั้ง เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิ ดขึ้นก็คือมีการจัดทำรัฐธรรมนูญ และในขณะเดียวกันการจัดตั้ งศาลรัฐธรรมนูญแผ่ขยายอย่างกว้ างขวาง หลังสงครามโลกครั้งที่สองมี ผลงานของฝรั่งจำนวนมากชี้ให้เห็ นการเกิดขึ้นของศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงมีคำตัดสินของศาลที่ ขยายประเด็นต่างๆ อย่างกว้างขวางทั้งประเด็นเรื่ องสิ่งแวดล้อม ประเด็นเรื่องชนพื้นเมือง ประเด็นเรื่องการคุ้ มครองประโยชน์สาธารณะต่างๆ งานส่วนใหญ่จะใช้ Judicialization of Politic เท่าที่ได้ลองสำรวจ สำหรับในเมื องไทย คำที่คุ้นเคยก็คือตุลาการภิวั ตน์ คนที่นำเสนอคือ ธีรยุทธ บุญมี ตอนแรกๆ ที่ธีรยุทธเสนอตุลาการภิวัตน์ กฎหมายภิวัตน์ นิติธรรมภิวัตน์ หมายถึงว่าศาลจะทำหน้าที่เหมื อนกับตั้งระบอบประชาธิปไตยที่มี พระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยการมองอำนาจศาลอย่างกว้ างขวาง ซึ่งประเทศในแถบยุโรปเรียกว่ ากระบวนการตุลาการภิวัตน์ ซึ่งข้อเสนอของธีรยุทธนั้นติ ดตลาดเป็นอย่างมาก คำว่าตุลาการภิวัตน์เป็นคำที่ เรารู้จักกันอย่างกว้างขวาง
คำว่าตุลาการภิวัตน์เป็นคำที่น่ าสนใจ จริงๆ คำนี้น่าจะมาจากคำว่า ตุลาการ+อภิวัฒน์ คำว่าตุลาการก็เป็นที่เข้าใจกั น ส่วนคำว่าอภิวัฒน์นั้นถ้าเป็นนั กเรียนประวัติศาสตร์จะสนใจ เพราะเป็นคำที่ปรีดี พนมยงค์ นำมาใช้เรียกในการเปลี่ ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ปรีดีเสนอให้เรียกการเปลี่ ยนแปลงการปกครองว่าเป็นการอภิวั ฒน์ โดยอธิบายว่าเป็นความงอกงามอย่ างหนึ่ง อย่างยิ่ง หรืออย่างวิเศษ ถ้าเรานำคำว่าอภิวัฒน์มาบวกกั บตุลาการ ก็ต้องแปลว่า ความงอกงามอย่างยิ่งหรืออย่างวิ เศษโดยฝ่ายตุลาการ ซึ่งน่าจะเป็นความงอกงามอย่ างไม่น่าเชื่อมากกว่า ผมคิดว่าถ้าเรามองปรากฏการณ์ที่ ผ่านมา ถ้าใครมองว่าเป็นความงอกงามอย่ างยิ่งหรืออย่างวิเศษโดยฝ่ายตุ ลาการ ผมคิดว่ามันคงต้องมีข้อถกเถี ยงอย่างกว้างขวางแน่นอน เพราะฉะนั้นความหมายนี้จึงติ ดตลาด ผมเสนอว่าการแปลในที่นี้ คงหมายถึงการเมืองเชิงตุลาการอั นนี้เป็นคำที่ผมแปลมาจากภาษาฝรั ่ง เขานิยามคำว่า Judicialization of Politic หมายถึงกระบวนการในการทำให้ ประเด็นปัญหาทางการเมืองเข้ าไปอยู่ในการตัดสินของฝ่ายตุ ลาการ พูดง่ายๆ ว่าประเด็นที่เคยเป็นปั ญหาทางการเมืองในประเด็นที่ ศาลไม่เคยเข้าไปข้องเกี่ยว บัดนี้ในปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Judicialization of Politic ทำให้เรื่องต่างๆ เข้ามาอยู่ในการตัดสินผ่ านอำนาจของศาลได้ และไม่เป็นสิ่งที่ขัดแย้งต่อหลั กการแบ่งแยกอำนาจของศาลอะไรเลย ผมคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ เราสามารถเห็นได้หลายประเด็ นในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราเห็ นบทบาทของศาลทั้งในยุ โรปและนอกยุโรป ทำหน้าที่บทบาทเหล่านี้ มีบทบาทในเรื่องสิทธิเสรี ภาพของประชาชน การปกป้องเสียงข้างน้อย หรือคดีการเมืองที่สำคัญๆ ศาลได้ขยายบทบาทเข้าไปตัดสิ นเรื่องต่างๆ อันนี้คือสิ่งที่ผมว่าอยากใช้ว่ านี่คือเรื่องของการเมืองเชิงตุ ลาการ ไม่ได้อยากใช้คำว่าตุลาการภิวั ฒน์สักเท่าไร อันนี้เป็นเหตุผลเรื่องถ้อยคำ
การศึกษาบทบาทตุลาการในเอเชีย ไทยอยู่ตรงไหน
ความพลิกผันทางการเมืองเชิงตุ ลาการ ปรากฏการณ์ที่เพิ่งพูดถึงไปนั้ นเกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ งในประเทศที่เป็นประชาธิ ปไตยใหม่ทั้งในยุโรปและนอกยุโรป ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยใหม่ ในทวีปยุโรป คือ ประเทศที่เพิ่งแยกตั วมาจากสหภาพโซเวียต หรือประเทศในละตินอเมริกา ในขณะเดียวกันมีงานศึกษาเกี่ ยวกับบทบาทของตุลาการในประเทศนั ้นๆ เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ตัวอย่างงานที่มีชื่อเสียง เช่นงานของ Tom Ginsburg เข้าใจว่าเล่มนี้เป็นที่รู้จั กกันอย่างกว้างขวาง ถ้าแปลเป็นไทยชื่อว่า ‘มุ่งไปสู่ประชาธิปไตย’ มีงานของฝรั่งหลายงานเข้าไปศึ กษาบทบาทตุลาการหลายๆ ประเทศ สิ่งที่น่าสนใจคือการทำให้สถาบั นของตุลาการถูกพิจารณาในฐานะของ Political being หมายความว่าเป็นสิ่งมีตั วตนทางการเมืองแบบหนึ่ง การมีตัวตนทางการเมืองอาจจะดี หรือไม่ดีก็ได้ ซึ่งจะต่างจากการใช้คำว่าตุ ลาการภิวัตน์ที่ตี ความหมายไปในทางวิเศษอย่างยิ่ง งอกงามอย่างพิเศษ ซึ่งผมคิดว่ามันไม่ค่อยที่ จะชอบคำนี้สักเท่าไร ในฐานที่เป็น Political being ผมคิดว่าเป็นงานที่ทำให้เราเห็ นบทบาทของตุลาการที่แตกต่างกั นออกไป
มีงานชิ้นหนึ่งที่ผมคิดว่ าเขาทำให้เห็นถึงความพลิกผั นของการเมืองเชิงตุลาการได้ดี อันนี้เป็นงานของคนที่ศึกษาในสิ ่งที่เรียกว่าการเมืองเชิงตุ ลาการในเอเชีย และเขาก็แบ่งทำให้เห็นว่ าเวลาแนวความคิดเรื่ องบทบาททางตุลาการที่ขยายอย่ างกว้างขวางมันสามารถพลิกผั นไปได้หลายแบบ เขาทำให้เห็นเป็น 4 แบบด้วยกัน โดยเขาดูเงื่อนไขจากความเป็นอิ สระของศาลเป็นแกนตั้งว่า มีความเป็นอิสระมากน้อยแค่ไหน ส่วนแกนนอนดูว่า ศาลเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมื องมากน้อยขนาดไหน อันนี้เป็นการแบ่งที่คล้ายกั บการจำแนกให้เห็นบทบาทของศาลที่ ขยายตัวมากขึ้นในโลกสมัยใหม่ สามารถสร้างอำนาจได้หลายแบบ อย่างน้อยเราจะเห็นได้ 4 แบบจากไดอะแกรมนี้ ถ้าจะเอาประเทศที่มีความเป็นอิ สระสูงจะยกตัวอย่างคือญี่ปุ่นกั บมาเลเซีย เกาหลี อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ แต่แสดงบทบาทแตกต่างกัน ในญี่ปุ่นกับมาเลเซียผู้เขี ยนเสนอว่าศาลไม่ค่ อยแสดงบทบาทมากเท่าไร เรื่องการเมืองศาลจะไม่เข้าไปยุ ่ง ในขณะที่ประเทศที่ศาลมีความเป็ นอิสระอย่างสูงแล้วศาลแสดงการมี บทบาทอย่างมากเกิดขึ้นในเกาหลี อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เราอาจจะเห็นว่าศาลเกาหลีตัดสิ นลงโทษอดีตผู้นำเผด็จการ ศาลของฟิลิปปินส์เด่นในเรื่อง Gender ในขณะที่ประเทศที่ศาลมีความเป็ นอิสระต่ำอย่างในกัมพูชา ศาลไม่แสดงบทบาทอะไรมาก ในส่วนของเมืองไทย ศาลมีความเป็นอิสระต่ำแต่มี บทบาททางการเมืองสูง นี่คือการที่ทำให้ผู้พิพากษาเข้ าไปอยู่ในแวดวงทางการเมือง เพราะฉะนั้นผมคิดว่าถ้าเริ่มต้ นด้วยการขยายพรมแดนการรับรู้ ความเข้าใจเรื่องบทบาทของตุ ลาการในโลกสมัยใหม่ นี่คือพรมแดน 4 แบบซึ่งนักวิชาการได้เสนอมา แม้จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้ วยแต่ก็เป็นต้นแบบที่ จะทำความเข้าใจตุลาการได้กว้ างขวางมากขึ้น เพราะว่าในบริบทปัจจุบันเวลาเขี ยนงานเกี่ยวข้องหรือวิวาทะเกี่ ยวกับเรื่องนี้ เรามักถกเถียงเฉพาะคำพิพากษา เฉพาะประเด็นไป ถ้าเราศึกษาเชิงภาพรวม เราน่าจะเห็ นบทบาทของศาลไทยในแบบที่ร่วมสมั ยกับการเปลี่ยนแปลงในระดั บโลกได้
งานศึกษาแบบนี้ทำให้เราเห็ นแนวคิดที่เรียกว่า Judicialization of Politic การเมืองเชิงตุลาการเป็ นกระแสในระดับกว้าง แต่ไม่ได้ความว่าเวลาถูกถ่ ายไปในสังคมต่างๆ จะมีความเหมือนกัน เพราะเราจะพบว่าในโลกนี้เราไม่ ได้อยู่ในประเทศที่เป็นเสรี ประชาธิปไตยทั้งหมด เราอยู่ในประเทศที่เป็นประชาธิ ปไตยแต่ไม่เสรี (illiberal democracy) หรือบางทีเราก็อยู่ในประเทศที่ เป็นเสรีแต่ไม่ประชาธิปไตย (liberal autocracy) ตัวอย่างของประเทศเราเป็ นประเทศประชาธิปไตยไม่สู้จะเสรี ซึ่งประเทศนอกยุโรปจำนวนมากมี ภาวะที่ไม่ใช่ประเทศเสรี เพราะฉะนั้นพออยู่ในสภาวะไม่ใช่ เสรีประชาธิปไตย และกระแสที่เรียกว่าตุลาการภิวั ตน์พัดลงไปในพื้นที่ต่างๆ ก็สร้างให้เกิดปรากฎการณ์ที่ แตกต่างกันขึ้น เพราะฉะนั้นผมคิดว่าถ้าเราจะศึ กษาตุลาการภิวัตน์หรือสิ่งที่ ผมเสนอคือการเมืองเชิงตุลาการมั นก็จะทำให้เราเห็นอะไรที่เห็ นเงื่อนไขของการเมืองภายในที่ จะส่งผลให้การเมืองเชิงตุ ลาการในไทยนั้นผันเปลี่ยนไปอี กแบบหนึ่ง
บทเรียนของสังคมไทย
วันนี้สังคมไทยเป็นอย่างไร อาจารย์สายชลและอาจารย์กฤษณ์ พชรได้พูดรายละเอียดไป ผมจะลองขมวดปมที่ผมคิดว่าเป็ นประเด็นที่ผมสนใจอยู่
เงื่อนไขใดของสถาบันตุลาการที่ ทำให้เกิดสถานะตุลาการเป็นใหญ่ ในแผ่นดินที่ไม่ใช่ตุลาการภิวั ตน์ มีเงื่อนไขใดบ้างที่สำคัญในห้ วงเวลาปัจจุบัน อันที่หนึ่งคือการเชื่อมต่ อระหว่างสถาบันตุลาการกับสถาบั นพระมหากษัตริย์ ผมคิดว่าสถาบันตุลาการกับสถาบั นพระมหากษัตริย์การเชื่อมต่อเป็ นสิ่งที่เราเห็นได้ในปรากฏการณ์ เป็นจำนวนมาก ผมจะลองพูดถึงปรากฏการณ์ 3 เรื่อง เรื่องแรกคือ การแต่งตั้งตุลาการ ข้าราชการเวลารับตำแหน่งไม่ จำเป็นต้องเข้าเฝ้า มีอาชีพตุลาการที่ต้องทำการเข้ าเฝ้าจึงจะปฏิบัติงานได้ จึงจะถือว่าเป็นตุลาการโดยสมบู รณ์แบบ ซึ่งหากเทียบกับข้าราชการอื่นๆ ไม่มีข้าราชการคนไหนต้องเข้าเฝ้ าถวายสัตย์เลย นี่เป็นเงื่อนไขพิเศษมาก การเข้าเฝ้าและการโปรดเกล้ ากลายเป็นอัตลักษณ์อันหนึ่งซึ่ งผู้พิพากษาภูมิใจในฐานะที่ ตนเองเป็นอาชีพที่พิเศษกว่าข้ าราชการอื่นๆ อันที่สองคือสัญลักษณ์ ผมคิดว่าสัญลักษณ์สามารถสะท้ อนอะไรที่เปลี่ยนแปลงได้ สีน้ำเงินเป็นสัญลักษณ์ ของกระทรวงยุติธรรม ส่วนอีกอันที่เป็นสัญลักษณ์ที่ มีสีสันสดใสมีดอกบัวบานเป็นสั ญลักษณ์ของสำนักงานศาลยุติธรรม อันหนึ่งเป็นสัญลักษณ์ ของกระทรวงยุติธรรมซึ่งตั้งมาตั ้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แต่สัญลักษณ์ถูกสร้างในสมัยรั ชกาลที่ 6 อีกอันหนึ่งเป็นสัญลักษณ์ ของสำนักงานศาลยุติธรรม ทั้งสองอันนี้มีความแตกต่างกั นอย่างไร ปัจจุบันยังใช้อยู่ทั้งคู่ เพราะใช้แยกกระทรวงยุติ ธรรมและสำนักงานศาลยุติ ธรรมออกจากกัน อันสีน้ำเงินมีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2459 เป็นดวงตราดุลภาค เป็นเครื่องมือสำหรับชั่งวัดให้ เกิดความเที่ยงธรรมได้แก่เครื่ องชั่งให้รู้หนักเบา แปลตามความนัยหมายถึงการรับผิ ดชอบให้ผดุงความยุติธรรมทำให้ สถิตเสถียร สม่ำเสมอ ไม่เอนเอียงไปข้างใดด้วยอคติ ตรากระทรวงยุติธรรมสมัยรัชกาลที ่ 6 ส่วนตราสำนักงานยุติธรรม พ.ศ.2543 หลังรัฐธรรมนูญ 2540 มีการแยกศาลยุติธรรมและประดิษฐ์ ตรานี้ขึ้น ถ้าพูดโดยรวมทั้งหมด สำนักงานศาลยุติธรรม ความหมายมันคืออะไร? ความหมายโดยรวมคือ รัชกาลที่ 9 ผู้พระราชทานความยุติธรรมทั่ วแผ่นดิน เราจะเห็นความหมายของความยุติ ธรรมของหน่วยงานรัฐที่แปรเปลี่ ยนไปจากเดิมผูกติดอยู่กับคติ ไทยแบบดั้งเดิม ที่ไม่ได้ผูกติดกับพระมหากษัตริ ย์พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง แต่ตราสัญลักษณ์ของสำนั กงานศาลยุติธรรมผูกติดอยู่กั บพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงชนิดหนึ่ งที่น่าสนใจคือสะท้อนให้เห็นว่ าบัดนี้อำนาจทางศาลแสดงตนว่าเชื ่อมต่อกับสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างใกล้ชิด อย่างที่ผมคิดว่าไม่น่ าเคยปรากฏขึ้นมาก่อนในเชิงสัญลั กษณ์
อีกเรื่องหนึ่งที่คิดว่าน่ าจะสะท้อน จากที่มองจากสัญลักษณ์ มองจากพิธีกรรม มีเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่ แล้ว ซึ่งผมคิดว่าเรื่องนี้น่ าสนใจมาก ผมขอตั้งชื่อว่า “ผมเป็นผู้พิพากษาของพระเจ้าอยู ่หัว” (สมชายคัดลอกเรื่องเล่านี้ มากจาก Facebook) เมื่อปีที่แล้วที่ศาลจังหวัดปั ตตานี มีผู้พิพากษากำลังจะเดินทางกลั บบ้าน แต่เห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งร้ องไห้อยู่ ผู้พิพากษาท่านนี้จึงเดินเข้ าไปถาม ผู้หญิงคนนี้จึงบอกว่าแม่กับน้ องชายถูกจับ น่าจะเป็นคดีขายใบกระท่อม ต้องเอาเงินมาประกันแต่มาไม่ทั นเวลาศาล แม่กับน้องชายเลยต้องติดคุก ผู้พิพากษาคนนี้เห็นผู้หญิงร้ องไห้ จึงบอกให้ยื่นคำร้องขอประกันตัว เวลา 5 โมงขณะที่ศาลปิด เงิน 6,000 บาทเอามาเป็นค่าประกันก่อน “ผู้หญิงคนนี้บอกว่า ศาลปิดแล้ว ผมบอกว่ายังไม่ปิด เธอเถียงกลับมาว่าศาลปิดแล้ วเพราะเจ้าหน้าที่บอก ผมบอกว่าเดี๋ยวผมสั่งเปิดให้ดู และหันไปบอกกับเจ้าหน้าที่ ศาลให้จัดการเรื่องนี้ให้หน่อย คุณเล็กที่เป็นเจ้าหน้าที่ศาลจั ดการเรื่องนี้ให้ เจ้าหน้าที่ศาลจึงจัดการปล่อยคุ ณแม่ผู้หญิงคนนั้นออกมา ผู้หญิงคนนี้ยกมือไหว้หลายครั้ง ผมก็บอกกับเธอว่า “ผมเป็นผู้พิพากษาของพระเจ้าอยู ่หัว””
ข่าวนี้ได้รับความชื่นชมอย่ างกว้างขวางในอินเตอร์เน็ต ผมคิดว่านี่สะท้อนให้เห็นว่าผู้ พิพากษามักจะอ้างว่ าทำตามพระปรมาภิไธย แต่นี่เป็นเรื่องที่น่ าสนใจเพราะผู้พิพากษาท่านนี้ เคยตัดสินคดีคุณจินตนา แก้วขาว เป็นชาวบ้านที่ลุกขึ้นสู้กั บโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ และคุณจินตนา แก้วขาว ถูกฟ้องที่ศาลประจวบ ตอนนั้นศาลชั้นต้นสั่งยกฟ้องให้ คุณจินตนาไม่ผิด ผู้พิพากษาคนนี้คือคนที่ยกฟ้ องให้คุณจินตนาไม่ผิด แต่คดีความนี้เกิดขึ้ นในบรรยากาศหลัง 2540 ผู้พิพากษาผู้นี้ยืนยันว่าการช่ วยเหลือชาวบ้านที่ปกป้องทรั พยากรไม่ผิด แต่เมื่อมาถึง พ.ศ. 2558 จากผู้พิพากษาผู้ให้ความสำคัญกั บรัฐธรรมนูญ กลับกลายมาเป็นผู้พิ พากษาของพระเจ้าอยู่หัว นี่เป็นความเปลี่ยนแปลงที่สะท้ อนออกในสังคมของตุลาการได้เป็ นอย่างดี เราจะเห็นความเชื่อมต่อของสิ่ งที่เรียกว่าสถาบันตุลาการ
อันที่สอง สถาบันตุลาการไม่เคยปฏิ เสธผลทางกฎหมายของการรัฐประหาร เมื่อมีการรัฐประหาร สถาบันตุลาการก็พร้อมที่จะยอมรั บว่าคณะรัฐประหารยึดอำนาจชั่ วคราวสำเร็จและกลายเป็นรัฏฐาธิ ปัตย์ การประกาศใช้คำสั่งใดๆ ก็กลายเป็นกฎหมายที่สามารถบังคั บใช้ได้ ผมคิดว่านี่เป็นเรื่องที่น่ าตกใจ คำพิพากษาฎีกาที่ 45/2496 ที่น่าจะเป็นคำพิพากษาฎี กาแรกและหลังจากนั้นก็สืบเนื่ องกันมา เราเห็นคำพิพากษาพวกนี้เป็ นจำนวนมาก เมื่อกลุ่มพลเมืองโต้กลับไปแย้ งในเรื่องเขตอำนาจศาล เรื่องเสรีพลเรือนควรขึ้ นศาลทหารหรือศาลพลเรือน ศาลอาญาก็มีความเห็นว่าคดีนี้มี คำสั่งของคสช.อยู่แล้วจึงต้องขึ ้นศาลทหาร ถ้าพูดตามนัยยะก็คือสถาบันตุ ลาการของเรานั้นไม่เคยยืนอยู่ ในแง่งของการปกป้องสิทธิเสรี ภาพของประชาชน เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกใจเมื่ อคณะรัฐประหารยึดอำนาจได้แล้ว เช่นสมัยจอมพลสฤษดิ์ สิ่งที่จอมพลสฤษดิ์ทำต่อคือ จัดให้ศาลเป็นอิสระต่อไป เพราะความเป็นอิสระของศาลเป็ นการรับรองอำนาจให้กับคณะรั ฐประหาร นี่อาจเป็นจารีตอีกอย่างหนึ่งที ่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและยั งเป็นแนวโน้มหลักอยู่
ศาลรัฐธรรมนูญหลัง 2549 การขยายพื้นที่อำนาจของศาลยุติ ธรรม
อันที่สามคือ บทบาทของตุลาการที่พลิกผันเป็ นอย่างมาก เวลาพิจารณาศาลรัฐธรรมนูญ ผมอยากเสนอว่าศาลรัฐธรรมนู ญในเมืองไทยควรต้องพิจารณา 2 ช่วงเวลา คือหลังรัฐธรรมนูญ 2540 กับหลังรัฐธรรมนูญ 2550 ทั้ง 2 ช่วงเวลานี้มีอะไรที่แตกต่างกั นอยู่ทั้งในแง่ขององค์ ประกอบคำพิพากษา หรืออะไรก็ตาม องค์ประกอบของตุลาการศาลรั ฐธรรมนูญโดยทั้งรัฐธรรมนูญปี 40 และ 50 มาจากศาลฎีกา ศาลปกครอง ผู้ทรงคุณวุฒินิติศาสตร์และรั ฐศาสตร์ มีสัดส่วนมากน้อยแล้วแต่ยุคสมัย แต่ที่น่าสนใจคือประธานศาลรั ฐธรรมนูญภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2540 กับ รัฐธรรมนูญปี 2550 มีความแตกต่างกัน ประธานศาลรัฐธรรมนูญตั้งแต่เริ่ มต้นมีอยู่ 10 คน หลังรัฐธรรมนูญปี 2540 ก่อนรัฐประหารปี 2549 ประธานศาลรัฐธรรมนูญกระจั ดกระจายไป แต่พอหลังรัฐประหาร 49 ประธานศาลรัฐธรรมนูญมีแต่ที่ มาจากศาลฎีกา สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้คื อการขยายอำนาจของศาลยุติธรรมเข้ าไปเหนือศาลอื่น หลังปี 49 เป็นต้นมานี่คือความเปลี่ ยนแปลงที่สำคัญ ข้อวิจารณ์ที่มีกับศาลรัฐธรรมนู ญในช่วง 1 ทศวรรษที่ผ่านมา มักพุ่งเป้าไปที่ตัวศาลรั ฐธรรมนูญเป็นหลัก แง่หนึ่งที่จะปฏิเสธไม่ได้ว่ าเกี่ยวข้องกับความยุติธรรมด้วย ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2540 ประธานศาลรัฐธรรมนูญมาจากที่ หลากหลายไม่ได้ผูกติดไว้กับใคร แต่หลังรัฐธรรมนูญหลังปี 2549 ประธานศาลมาจากผู้พิพากษาศาลยุ ติธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้นแล้วความคิด อุดมการณ์และตำแหน่งแห่งที่จึ งอยู่ภายใต้ศาลยุติธรรม
โดยสรุปแล้วตุลาการภิวัตน์ ในโลกปัจจุบันเป็นอิทธิพลที่ มาจากภายนอก แต่ทั้งนี้ไม่ได้เป็นปรากฏการณ์ ที่เกิดขึ้นได้ทุกแห่ง มันจะเกิดขึ้นได้ต้องขึ้นอยู่กั บปัจจัยภายใน หรือถ้าพูดให้เฉพาะก็คือตำแหน่ งแห่งที่ของสถาบันตุลาการ และบริบทการเมืองภายใน มีส่วนต่อการผลักดันให้เกิ ดการเปลี่ยนแปลงที่เปลี่ยนไป กระแสที่เกิดนั้นเกิดในระดับโลก แต่เวลากระจายเงื่อนไขภายในมีส่ วนอย่างสำคัญ ในสังคมไทยสถาบันศาลยุติธรรมมี ระบบปิด ใกล้ชิดกับสถาบันจารีต ยอมรับระบบอำนาจนิยม ในเมืองไทยสถาบันตุลาการที่เป็ นอยู่อย่างยาวนานมีลักษณะเด่นๆ เช่นนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อศาลยุติธรรมเข้ าครอบงำศาลรัฐธรรมนูญ จึงทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็นตุลาการเป็ นใหญ่ในแผ่นดิน”
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น