เพื่อไทย ร้องคสช.แก้ พ.ร.บ.ประชามติ ให้สอดคล้องหลักการประชาธิปไตย
Posted: 28 Apr 2016 10:42 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
28 เม.ย. 2559 พรรคเพื่อไทย ได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง การจำกัดสิทธิเสรี ภาพประชาชนในการแสดงความคิดเห็ นต่อร่างรัฐธรรมนูญ โดยระบุว่า ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้กำหนดให้วันที่ 7 ส.ค.นี้ เป็นวันออกเสียงประชามติร่างรั ฐธรรมนูญฉบับ มีชัย และต่อมาเมื่อวันที่ 22 เม.ย. ที่ผ่านมา พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสี ยงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 มีผลใช้บังคับ โดยมีข้อจำกัดในการแสดงความคิ ดเห็นและเผยแพร่ความคิดเห็นเกี่ ยวกับร่างรัฐธรรมนู ญและการออกเสียงประชามติอย่ างเข้มงวด และยังเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ ตีความได้ทุกกรณีตามอำเภอใจ เพื่อเอาผิดกับผู้ที่ ออกมาแสดงความคิดเห็น ประกอบกับคำสั่งหัวหน้าคณะรั กษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 3/2558 และ 13/2559 ที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหารอย่ างกว้างขวางในการควบคุมตัว ค้นและจับกุมตัวบุคคลได้โดยไม่ ต้องมีหมายจับของศาล ส่งผลให้สถานการณ์ด้านสิทธิมนุ ษยชน และสิทธิเสรี ภาพของประชาชนในการแสดงออกเกี่ ยวกับร่างรัฐธรรมนูญถูกจำกัดอย่ างไม่เคยปรากฏมาก่อน ไม่ว่ากรณีของ วัฒนา เมืองสุข ที่ถูกทหารควบคุมตัวด้วยสาเหตุ เพียงแค่แสดงความเห็นเกี่ยวกั บร่างรัฐธรรมนูญ กรณีอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ แสดงความเห็นไม่รับร่างรั ฐธรรมนูญ ก็ถูกข่มขู่ที่จะใช้ มาตรการทางกฎหมายดังกล่าวดำเนิ นการ รวมถึงการแถลงของ จตุพร พรหมพันธุ์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่ทหารได้มี การควบคุมพลเรือนจำนวนประมาณ 10 คน ซึ่งอยู่ในกลุ่มกิจกรรมเฟสบุ๊ กไปไว้ในค่ายทหาร โดยอ้างว่าผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิ ดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ยังไม่รวมถึงการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ได้ให้สัมภาษณ์ในลักษณะข่มขู ่ห้ามการแสดงความเห็น หรืออภิปรายข้อดีข้อเสียของร่ างรัฐธรรมนูญอยู่อย่างต่อเนื่ องด้วย นั้น
พรรคเพื่อไทยเห็นว่า การออกเสียงประชามติร่างรั ฐธรรมนูญนั้น คือ การนำร่างรัฐธรรมนูญไปขอความเห็ นชอบจากประชาชน ซึ่งการตัดสินใจเพื่ อแสดงความเห็นชอบหรือไม่เห็ นชอบโดยประชาชนผู้เป็นเจ้ าของอำนาจอธิปไตยนั้นเป็นการตั ดสินใจว่าจะให้ร่างรัฐธรรมนู ญเป็นกติกาสูงสุดเพื่อใช้ ในการปกครองประเทศหรือไม่ การออกเสียงประชามติดังกล่าวจึ งมีความสำคัญและมีความหมายอย่ างยิ่ง
ดังนั้น การออกเสียงประชามติจึงต้องเป็ นไปด้วยความถูกต้อง ชอบธรรม โปร่งใส สุจริต และเที่ยงธรรมทุกขั้นตอน ประชาชนต้องมีสิทธิอันชอบธรรมที ่จะได้รับทราบข้อเท็จจริ งและความเห็นเกี่ยวกับร่างรั ฐธรรมนูญจากทุกฝ่ายอย่างเต็มที่ ทั้งต้องมีเสรี ภาพในการแสดงความคิดเห็นและวิ พากษ์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ ตลอดจนมีโอกาสที่จะรับฟังการอภิ ปรายถึงข้อดีและข้อเสียของร่ างรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้เพื่อให้เป็ นไปตามเจตนารมณ์ของการออกเสี ยงประชามติที่ต้องให้ประชาชนได้ ทราบเนื้อหา ผลดีและผลเสียของร่างรัฐธรรมนู ญให้มากที่สุดก่อนที่จะตัดสิ นใจลงคะแนนออกเสียงยอมรับหรื อไม่ยอมรับกติกาดังกล่าว ซึ่งถือเป็นหลั กการสากลในการทำประชามติ
เมื่อพิจารณา พ.ร.บ.ว่าด้ วยการออกเสียงประชามติร่างรั ฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559 แล้ว พรรคเพื่อไทยเห็นว่า แม้มาตรา 7 จะให้เสรีภาพในการแสดงความคิ ดเห็น และเผยแพร่ความคิดเห็นเกี่ยวกั บการออกเสียงประชามติไว้ แต่มาตรา 61 ของกฎหมายฉบับนี้กลับกำหนดข้อห้ ามที่เข้มงวด ขัดต่อหลักการในมาตรา 7 เสียเอง และยังกำหนดโทษผู้ฝ่าฝืนไว้สู งมาก โดยให้จำคุกถึง 10 ปี นอกจากนี้เนื้อความของกฎหมายยั งเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุ ลยพินิจตีความการกระทำของบุ คคลได้อย่างกว้างขวาง จนยากจะเข้าใจได้ว่าสิ่งใดทำได้ สิ่งใดทำไม่ได้ การจำกัดสิทธิเสรี ภาพประชาชนในการให้ความเห็ นและเผยแพร่ความเห็นต่อร่างรั ฐธรรมนูญดังกล่าว นอกจากจะเป็นการปิดกั้นการรับรู ้ข้อมูลของประชาชนแล้ว ยังเป็นการใช้ มาตรการทางกฎหมายแบบเผด็จการ เพื่อจำกัดสิทธิ เสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน อันขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน และขัดต่อรัฐธรรมนูญฉบับชั่ วคราว มาตรา 4 เกี่ยวกับเสรี ภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างชั ดเจน ขณะเดียวกันกลับให้อำนาจแก่รั ฐในการที่จะใช้ กลไกในระบบราชการทุกรูปแบบเพื่ อเข้าถึงประชาชนในการให้ข้อมู ลด้านเดียวเกี่ยวกับร่างรั ฐธรรมนูญและการออกเสียงประชามติ ซึ่งแม้จะอ้างว่าเพื่อชี้ แจงสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ แต่โดยพฤตินัยแล้วก็คือการชี้ นำให้มีการรับร่างรัฐธรรมนูญนั่ นเอง อนึ่ง คำข่มขู่ของพลเอกประยุทธ์ฯ และพลเอกประวิตรฯ ต่อประชาชนที่แสดงความคิดเห็ นในเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง ได้สร้างความหวาดกลัว และปิดกั้นสิทธิเสรี ภาพของประชาชน จนไม่มีประโยชน์อันใดที่ จะทำประชามติในลักษณะเช่นนี้
ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นดังกล่าว องค์กรทั้งในและต่างประเทศ ต่างได้แสดงความเป็นห่วงถึ งการออกเสียงประชามติที่ถูกปิ ดกั้นครั้งนี้อย่างกว้างขวาง รวมถึงเรียกร้องให้มีการอภิ ปรายร่างรัฐธรรมนูญได้อย่างอิ สระ ไม่ว่าจะเป็นข้าหลวงใหญ่สิทธิ มนุษยชนแห่งสหประชาชาติ, สมาชิกรัฐสภาอาเซียนเพื่อสิทธิ มนุษยชน (APHR), สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (HRLA), มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CRCF), มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน (CRC), มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (Enlaw), ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (TLHR), สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.), กลุ่มพลเมืองผู้ห่วงใย เป็นต้น
พรรคเพื่อไทยจึงเรียกร้องมายัง คสช. ดังต่อไปนี้ 1. รัฐบาล และ คสช. ต้องแก้ไข พ.ร.บ.ว่าด้ วยการออกเสียงประชามติร่างรั ฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2559 ในมาตรา 7 และมาตรา 61 ให้สอดคล้องกับหลักการประชาธิ ปไตย เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้วิ พากษ์วิจารณ์ อภิปรายแสดงความคิดเห็น และเผยแพร่ความคิดเห็นของตน ไม่ว่าจะในทางเห็นด้วยหรือไม่ เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญได้ อย่างเต็มที่ หากเป็นไปโดยสุจริตและในทางวิ ชาการ นอกจากนั้น คสช. ต้องแก้ไขหรือยกเลิกคำสั่ง และ/หรือประกาศของหัวหน้า คสช. หรือ คสช. ที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่ อการแสดงความคิดเห็นและเผยแพร่ ความคิดเห็นต่อร่างรัฐธรรมนู ญของประชาชนที่เป็นไปโดยสุจริ ตและในทางวิชาการ
2. คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องรีบเผยแพร่ระเบียบปฏิบัติ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสี ยงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559 โดยระเบียบดังกล่าวต้องยึ ดเจตนารมณ์ตามมาตรา 7 เป็นสำคัญ และให้ถือว่าการแสดงความคิดเห็น และเผยแพร่ความคิดเห็นของบุ คคลโดยสุจริตและในทางวิชาการ เป็นสิ่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
พรรคเพื่อไทย ระบุตอนท้ายแถลงการณ์ด้วยว่า ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ผลประชามติ ร่างรัฐธรรมนูญที่จะออกมา สะท้อนความต้องการอันแท้จริ งของประชาชน ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย และจะไม่นำไปสู่ปัญหาความขัดแย้ งแตกแยกอีกต่อไป
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น