0

เรื่องอุทยานราชภักดิ์ พูดง่ายๆ ท่านบอกไม่ทุจริต ใครจะไปทำอะไรท่านได้
แต่ที่ชาวบ้านงงไม่หาย คือเรื่องนี้ไม่ได้มาจากนักการเมือง จากฝ่ายต่อต้านที่ไหนเลย ผู้มีอำนาจเล่นกันเองแท้ๆ อยู่ดีๆ นายทหารพันเอก "ดาวรุ่ง" เผ่นหนีออกนอกประเทศ โดนหมายจับ โดนปลดออกจากราชการ แล้วเพื่อนสนิทพลตรีก็ลาออก ทั้งที่รู้กันว่าเด็กใคร แล้วอยู่ดีๆ อุดมเดชก็รับสารภาพ "มีหัวคิว" ชาวบ้านงงเป็นไก่ตาแตก เขาเล่นอะไรกันวะ?
แต่พอเรื่องทำท่าจะบานปลาย อยู่ๆ ก็รวบรัด ไม่มีทุจริต กลายเป็นสื่อผิด ด่าสื่อเป็นการใหญ่ (ถึงแม้จะด่าได้สะใจ จริงนะ ปีที่แล้วชมกันจัง ยกยอปอปั้น สารพัดสารเพ ปีนี้ให้ร้าย ผมฟังถึงตอนนี้แล้วหัวเราะสะใจ)
ที่งงอีกอย่างคือ ผบ.ทบ.คนใหม่นี่ละ ชาวบ้านเขาไม่ได้เห็นทั่นเป็นจำเลยซักหน่อย เขาหวังให้เป็นพระเอกต่างหาก กลับมาโวยๆ วายๆ กลายเป็นหมูแบกหม้อก้นดำแทน ไม่เข้าใจตุ้มจริงๆ

000000

“จะเอาให้ตายเลยไหม จะเอาขนาดประหารชีวิต 7 ชั่วโคตรไหม ถามอย่างนี้ ดูเจตนาคนบ้าง จะอยู่กันอย่างไร จะมีความสุขกันอย่างไร เล่นขนาดนี้ เขาไม่ทำอะไรก็จะให้เขาผิดให้ได้ เขาเจตนาดี ก็จะให้เขาผิดให้ได้ สังคมไทยมันเป็นอะไรกันตอนนี้
คำแถลงของผู้บัญชาการทหารบกที่ยืนยันว่าไม่มีทุจริตในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ฟังเหมือนจบ แต่เอาเข้าจริงไม่จบ ข้อแรก สังคมต้องการทราบข้อเท็จจริงกระจะกระจ่าง ไม่ใช่เพียงยืนยัน 2-3 คำ ข้อสอง ชาวบ้านฟังแล้วยังงงทำไมต้องใส่อารมณ์ปานนั้น เพราะท่านไม่ได้เป็นจำเลยซักหน่อย ชาวบ้านคาดหวังให้ท่านเป็น “พระเอก” ต่างหาก
ถึงแม้บางตอนฟังแล้วสะใจ เช่น ท่านวิพากษ์นักข่าว “ปีที่แล้ว ชมกันจัง ยกย่อง ปอปั้น สารพัดสารเพ ปีนี้ให้ร้ายเขาแล้ว” จริงครับ ไอ้พวกกลับไปกลับมา แต่ก็ไม่ใช่สื่อทั้งหมดที่เชลียร์ทหารแล้วพลิกกลับ
ปัญหาอุทยานราชภักดิ์ เป็นอย่างที่มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นกล่าวว่าเป็นกรณีอื้อฉาวที่ใหญ่ที่สุดในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงไม่สามารถจบอย่างนี้ได้ ต้องชี้แจงประชาชนเป็นรายประเด็น เช่น เรื่องต้นปาล์ม เรื่องโต๊ะจีน หรือค่าจัดสร้างพระบรมรูป ว่านำเงินบริจาคไปใช้อย่างไร
อย่าลืมนะเรื่องอื้อฉาวนี้ไม่ได้เกิดจากสื่อหรือนักการเมืองให้ร้ายป้ายสี โถ กินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหน ใครจะกล้าให้ร้ายทหาร แต่เรื่องต่อเนื่องจากคดีแอบอ้างสถาบัน แล้วมีนายทหารยศพันเอกหนีออกนอกประเทศ โดยมีข่าวว่าเกี่ยวกับการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ซึ่งต่อมา คสช.ก็แจ้งจับด้วย ม.112 กองทัพปลดออกจากราชการ แล้วต่อมานายทหารยศพลตรีเพื่อนคู่หูก็ลาออก ซึ่งกระทรวงกลาโหมก็รับว่าจริง
นายทหารดาวรุ่ง พันเอก พลตรี รู้กันทั้งเมืองว่าเป็นคนสนิทผู้ใหญ่ ทำไมต้องหนี ทำไมลาออก มันไม่ปกติแล้วครับ ถัดมา อดีต ผบ.ทบ. รมช.กลาโหม ยอมรับว่าการจัดสร้างพระบรมรูปมีคนเรียกหัวคิว แต่บริจาคคืนมาแล้ว ทำเอาชาวบ้านแซวกันทั่ว “อมหัวคิวแต่บริจาคคืนไม่มีความผิด”
ถ้าเรื่องมาจากสื่อหรือนักการเมืองก็ไม่มีใครเชื่อหรอก แต่นี่ท่านรับเอง “มีค่าหัวคิว” คสช.ก็แจ้งจับเอง กองทัพปลดออกเอง เรื่องอื้อฉาวจึงมีน้ำหนัก พูดตรงๆ ชาวบ้านก็งง “นี่เขาเล่นอะไรกัน” เป็นข่าวอื้อฉาวมาสิบกว่าวัน อยู่ๆ ท่านตัดบท จบ ไม่มีทุจริต ปปช.ไม่ต้องมาสอบ ฯลฯ มันจบง่ายอย่างนั้นหรือ
เรื่องไปไกลจนสังคมอยากรู้แล้วล่ะว่ามีคนบริจาคเท่าไหร่ ใช้อะไรบ้าง โต๊ะจีน 1 ล้าน ต้นปาล์ม 3 แสน ใครบริจาคได้ติดป้ายชื่อ ฟังแล้วเข้าใจได้ ไม่แปลกอะไร แต่ถ้าไม่กางบัญชีมูลนิธิตอบสาธารณชน ก็ไม่พ้นเรื่องอื้อฉาวซึ่งกระทบรัฐบาล
ฉะนั้น มูลนิธิซึ่งมี พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร เป็นประธานต้องชี้แจง ไม่ใช่แค่ ผบ.ทบ.คนปัจจุบัน
ท่านอาจบอกว่ามูลนิธิเป็นเงินบริจาค ไม่ใช่งบประมาณ แต่ก็สร้างบนที่ดินกองทัพ แล้วถามจริง ถ้าไม่ใช่กองทัพรับบริจาค จะได้เงินมากเท่านี้ไหมครับ ถ้าไม่ใช่ยุคที่กองทัพมีอำนาจ ถ้าไม่ใช่ยุคกองทัพรัฐประหาร
ก็แบบเดียวกับรัฐมนตรีกลาโหมไปทอดกฐิน ได้เงินตั้ง 65 ล้าน แม้ยังน้อยกว่าปีที่แล้ว 82 ล้าน แต่ถามว่านี่บารมีหลวงปู่คำพันธ์หรือบารมีใคร ถ้าเป็นนักการเมือง สังคมจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร

                                                                                                                                ใบตองแห้ง

source :- FB Atukkit Sawangsuk & http://www.kaohoon.com/online/content/view/24771


แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

 
Top