รัฐประหาร 34 ผมอยู่หนังสือพิมพ์แนวหน้า ซึ่งตอนนั้นถล่มรัฐบาลชาติชาย "บุฟเฟต์คาบิเนต" อย่างร้อนแรง ซ้ำยังเล่นข่าวคดีลอบสังหารบุคคลสำคัญ ที่ รสช.อ้างเป็นสาเหตุหนึ่งในการทำรัฐประหาร
ผมไม่ค่อยเห็นด้วยนัก พอเกิดรัฐประหารก็ยัวะและ hurt พอๆ กับบรรยง อินทนา (บก.คมชัดลึกปัจจุบัน) ไปนอนด่า บก.ข่าว อายุษ ประทีป ณ ถลาง กัน 2 คน จำได้ว่าเบี้ยวงานไป 1-2 วัน เซ็งมากก็นอนดูวีดิโอโป๊ 555
พอกลับมาทำงาน อายุษไม่ว่าไร พูดสั้นๆ ตามสไตล์ ข่าวคือข่าว เราต้องเล่น รัฐบาลมีหน้าที่ชี้แจง เราเล่นหรือไม่เล่นมันก็รัฐประหารอยู่แล้ว
ก็จำไม่ได้หมดหรอกว่าอายุษพูดอะไรบ้าง แต่ที่จำแม่นคือ เราจะตรวจสอบทุกรัฐบาล แล้วหลังจากนั้นแนวหน้าก็ยืนซด รสช. ไม่เคยลดละ (ไอ้ช้าง สมชาย มีเสน เป็นนักข่าวทำเนียบ ซัดสุจินดาซะ จนตอนพฤษภาต้องส่งไปหลบเชียงใหม่)
นสพ.ตอนนั้นที่ซด รสช.ตรงๆ มี 2 ฉบับ ผู้จัดการ กับแนวหน้า ผู้จัดการแน่ละมีสัมพันธ์อันดีกับพวกที่ปรึกษาบ้านพิษ แต่แนวหน้า วาริน พูนศิริวงศ์ นอกจากกลัวทหารตามประสานักธุรกิจ แล้วยังมีสายสัมพันธ์อันดีกับรุ่น 5 บางคน
พฤษภา 35 จำได้ว่าช่วงหนึ่งอายุษต้องลาพักร้อนไปเที่ยวหาดใหญ่ ไม่ใช่ลี้ภัยใครหรอก หลบวาริน รู้ว่าวารินจะพยายามเจรจาให้ลดโทนลง แต่หาอายุษไม่เจอ พวกผมก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ หัวหน้ากรูไม่อยู่ไม่คุยกับหัวหน้ากรูเอง แต่พวกกรูล่อทุกวัน
ที่จริงต้องยกให้พี่นพพร ตุงคะรักษ์ ด้วย แกเป็น บก.บห.เป็นกันชนให้เราทำข่าวอย่างอิสระ (เพิ่งรู้ทีหลังว่าพี่นพพรเสียเมื่อเดือน มิ.ย.นี่เอง เสียใจไม่ได้ไปงาน)
จนกระทั่งหลังพฤษภา ตั้งรัฐบาลอานันท์ 2 ล้างบางรุ่น 5 รสช.หมด ได้พาดหัวกันจนสะใจ ก็ยกทีมออกจากแนวหน้า ยกทีมจริงนะครับ ตอนนั้น หมดโต๊ะข่าวการเมือง เหลือแต่ไอ้แว่น วันชัย วงศ์มีชัย นายกสมาคมนักข่าวปัจจุบัน ไอ้แว่นมันอยู่มาก่อน อยู่มานาน และอยู่ต่อได้ ลูกเรียนไผทอุดมศึกษาด้วย มันเลยบอกว่าพวกมึงไปเหอะไม่รู้จะไปไหน (แบบว่าไอ้แว่นนี่ส่วนตัวมันเป็นคนนิสัยดี เข้าคนง่าย ใครมีอำนาจก็เห็นว่ามันไม่มีพิษมีภัย ฉะนั้นแนวหน้าเปลี่ยนใครมามันก็อยู่ได้)
หลังจากนั้นละครับที่ยกทีมมาอยู่ INN กับสนธิญาณ หนูแก้ว, สมชาย แสวงการ อิอิ แล้วพอเห็นธาตุแท้ ก็ยกอีกทีมาอยู่สยามโพสต์ โดยบางคนก็กระจายไปอยู่ที่อื่นบ้าง
อายุษเป็นเจ้าแห่งการพาดหัวแรง ตั้งแต่แนวหน้า สยามโพสต์ ไทยโพสต์ ที่จำแม่นคือตอน สปก.4-01 พรรคพลังธรรรมประชุมจะถอนตัวจากรัฐบาล ก็พาดหัวว่า "พธ.ขอมติเลิกกอดศพ" มรดกพาดหัวแรงยังตกทอดถึงไทยโพสต์ปัจจุบัน (และน่าจะไปถึงฉบับอื่นๆ ด้วยใน 10 ปีมานี้) แต่อายุษแรงยังไงก็มีหลัก ที่คนอื่นไม่มี ข้อแรกไม่เคยเลือกหน้าอินทร์หน้าพรหม ข้อสอง จะเล่นตรงประเด็นสำคัญหรือประเด็นที่เป็นภาพรวม ไม่ใช่พาดหัวแล้วควานหาแทบตายกว่าจะเจอเนื้อข่าวที่ใช้พาดหัว ข้อสาม ยังไงก็คม เป็นนายภาษา ไม่ทื่อมะลื่อ หรือใช้คำด่าหยาบๆ ตรงๆ ข้อสี่ นี่อาจจะเฉพาะตัว คืออายุษจบนิติจุฬาฯ จะแม่นเรื่องกฎหมาย และกล้าเล่นข่าวฉาวในศาลมาตลอด ตั้งแต่ยุคที่ยังไม่มี "ตุลาการภิวัตน์" (คือไม่ได้มองพวกศาลเป็นเทวดา แต่เห็นว่าศาลนี่ละต้องถูกตรวจสอบอย่างมาก)
เสียดายอายุษต้องออกจากไทยโพสต์ในยุคทักษิณ ไม่รู้ว่าทักษิณหรือพวกแวดล้อมทักษิณ ไม่พอใจ ใช้กำลังภายในอ้อมไปบีบจมูกพี่เปลวอีกทาง จนอายุษต้องลาออก (ซึ่งเล่าลำบาก มันกระทบคนนอกหลายคน) นี่คือความเลวร้ายในยุคอำนาจนิยมระบอบทักษิณที่ไม่อาจปฏิเสธได้
ไม่งั้นยังไงอายุษก็เป็นอายุษ เหมือนปี 34-35 แม้บางมุมอาจไม่เหมือนผม คือเกลียดทักษิณแรงกล้า แต่ก็จะไม่เชียร์รัฐประหาร ไม่ละเว้น ปชป. ถล่มทุกรัฐบาล ไม่เลือกหน้าอินทร์หน้าพรหม
ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เห็นในสื่อ ทั้งหลังรัฐประหาร 49 รัฐประหาร 57 หลังรัฐประหาร 49 ใหม่ๆ ผมยังคาดหวังอยู่บ้างว่าสื่อจะวิจารณ์ คมช.ในสิ่งที่ไม่ถูกต้องไม่เป็นธรรม หรือใช้อำนาจไม่ชอบมาพากล แต่เปล่าเลย ยิ่งเห็นทักษิณไมตาย เห็น นปก.ที่ต่อมาเป็น นปช. ยิ่งคลุ้มคลั่งปลุกความเกลียดชัง เห็นความไม่ยุติธรรมก็ยังช่วยแถกันสุดๆ
ปี 34 ล้มรัฐบาลบุฟเฟต์คาบิเนต ยังไม่ขนาดนี้ (โห ตอนนั้นทั้งเรื่องดอนเมืองโทลเวย์ โฮปเวล ฯลฯ ถ้าฟ้องเรียกค่าเสียหาย 'จารย์โต้งคงไม่มีมรดกเหลือ) ตอนส่งน้าชาติขึ้นเครื่องไปอังกฤษนักข่าวยังน้ำตาคลอ พอคุณหญิงบุญเรือนกลับมา ซดไวน์แล้วร่ายรำด่า รสช.แถวสนามหญ้าหน้าบ้าน นักข่าวก็ตบมือเชียร์ "พี่บุนนี่สู้ๆ"
ต้องโทษทักกี้ละมั้ง สร้างความเกลียดชังได้หน้ามืดตามัวจริงๆ 555