คุกคามทนาย ให้ถอนฟ้องเจ้าหน้าที่ !!!
เบญจรัตน์ ทนายความโดนเจ้าหน้าที่คุกคาม
จะให้ถอนฟ้อง นาย ธนกฤต
แพะที่เอามากลบข่าวอุทยานราชภักดิ์ !!
เบญจรัตน์ ทนายความโดนเจ้าหน้าที่คุกคาม
จะให้ถอนฟ้อง นาย ธนกฤต
แพะที่เอามากลบข่าวอุทยานราชภักดิ์ !!
เธอได้เข้าเยี่ยม ธนกฤต ในเรือนจำขอนแก่น
ลูกความของเธอได้แจ้งว่า
ลูกความของเธอได้แจ้งว่า
หลังมอบอำนาจให้เธอไปแจ้งความ
กลับกับเจ้าหน้าที่นั้น
กลับกับเจ้าหน้าที่นั้น
ได้มีชุดตำรวจทหารจากกรุงเทพฯ
เดินทางมาที่เรือนจำขอนแก่นเพื่อสอบสวนเขาถึง 4 รอบ
โดยคณะผู้สอบสวนได้ขอให้เขาถอนแจ้งความ
เพื่อแลกกับการที่เจ้าหน้าที่
จะไม่แจ้งข้อหามาตรา 112 กับเขา
โดยเจ้าหน้าที่กล่าวหาว่าเขามีการพูดคุย
เรื่องสถาบันกษัตริย์ในเรือนจำ
โดยคณะผู้สอบสวนได้ขอให้เขาถอนแจ้งความ
เพื่อแลกกับการที่เจ้าหน้าที่
จะไม่แจ้งข้อหามาตรา 112 กับเขา
โดยเจ้าหน้าที่กล่าวหาว่าเขามีการพูดคุย
เรื่องสถาบันกษัตริย์ในเรือนจำ
สุดท้ายเขาจึงจำเป็นต้องยินยอมเซ็นชื่อถอนแจ้งความ
แต่อย่างไรก็ดี วานนี้ (2 ธ.ค.) มีการแถลงข่าว
จากทางเจ้าหน้าที่ว่าจะเอาผิดธนกฤต
ในคดีเตรียมป่วนกรุงเช่นเดิม
แต่อย่างไรก็ดี วานนี้ (2 ธ.ค.) มีการแถลงข่าว
จากทางเจ้าหน้าที่ว่าจะเอาผิดธนกฤต
ในคดีเตรียมป่วนกรุงเช่นเดิม
ดังนั้นธนกฤตจึงเปลี่ยนการตัดสินใจ
และได้มอบหมายให้ทนายดำเนินคดีฟ้องเอาผิด
ต่อเจ้าพนักงานผู้กล่าวโทษ
ในความผิดที่เขาไม่ได้ก่ออีกครั้งหนึ่ง
และได้มอบหมายให้ทนายดำเนินคดีฟ้องเอาผิด
ต่อเจ้าพนักงานผู้กล่าวโทษ
ในความผิดที่เขาไม่ได้ก่ออีกครั้งหนึ่ง
เบญจรัตน์กล่าวด้วยว่า ในวันพรุ่งนี้ (4 ธ.ค.)
เธอจะเดินทางไปยังศาลทหาร
เพื่อแถลงต่อศาลถึงเรื่องการกักขังหน่วงเหนี่ยวทนายด้วย
เป็นคุกคามและขัดขวางไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่
ตามวิชาชีพทนายความ
เธอจะเดินทางไปยังศาลทหาร
เพื่อแถลงต่อศาลถึงเรื่องการกักขังหน่วงเหนี่ยวทนายด้วย
เป็นคุกคามและขัดขวางไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่
ตามวิชาชีพทนายความ
และขอให้ศาลมีคำสั่งให้เรือนจำ มทบ.11
อำนวยความสะดวกในการเข้าพบผู้ต้องขัง
เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปอย่างโปร่งใส
อำนวยความสะดวกในการเข้าพบผู้ต้องขัง
เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปอย่างโปร่งใส
~~~~~~~~~~~
เบญจรัตน์นั่งรออยู่จนถึงเวลาเที่ยง จึงได้แจ้งต่อทหารว่าเธอมีนัดที่ศาลอาญาในเวลา 13.30 น.มีความจำเป็นต้องเดินทางออกจากเรือนจำ แต่นายทหารยศร้อยเอกได้ล็อคประตูห้องและสั่งให้เธออยู่พบ "นาย" ก่อน เบญจรัตน์นั่งรออยู่อีกประมาณครึ่งชั่วโมงจึงเปิดสมุดนัดหมายศาลให้ทหารดู และเจรจาว่าจำเป็นต้องขอไปทำหน้าที่ แล้วจะมาคุยกับ "นาย" ในภายหลัง แต่ทหารคนดังกล่าวก็ยืนกรานว่าให้ไปไม่ได้ นายสั่งไม่ให้ไปไหน เบญจรัตน์ถามกลับว่าศาลสั่งกับนายสั่งอย่างไหนสำคัญกว่า ทหารก็ยืนยันไม่ให้ออกไป และยังบอกด้วยว่าจะโทรศัพท์ไปคุยกับผู้พิพากษาให้
วิญญัติ ชาติมนตรี
ในขณะเดียวกัน วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของผู้ต้องหาในคดีนี้อีกคนหนึ่งก็เดินทางมาเยี่ยมและสอบข้อเท็จจริงจากลูกความที่เรือนจำ มทบ.11 เช่นกัน วิญญัติกล่าวว่า เขาได้ทำเรื่องขอเยี่ยมและได้พบกับประธินเพียงคนเดียวเท่านั้น ประธิน ถูกตีตรวน ใส่กุญแจมือ และใช้ผ้าปิดตาระหว่างเดินมาพบทนาย ก่อนจะได้รับการแก้ผ้าปิดตาออกระหว่างพูดคุย อย่างไรก็ตาม วิญญัติระบุว่าเขาได้มีเวลาคุยกับประธินเพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้น โดยระหว่างการคุยสอบข้อเท็จจริงก็มีนายทหารนั่งฟังอยู่ด้วย
"จากนั้นเจ้าหน้าที่เรือนจำก็บอกว่าฝ่ายความมั่นคงไม่ต้องการให้คุย แล้วผมก็โดนกักบริเวณไว้ ไม่มีคำอธิบาย แค่บอกให้รอ แล้วไม่ให้ผมกับทนายเบญจรัตน์เจอกัน ทั้งๆ ที่ไปอยู่ในที่เดียวกัน แต่ให้แยกห้อง และต่อมาก็คุมตัวตัวทนายเบญไปโดยผมไม่ทราบ มาทราบตอนหลัง" วิญญัติกล่าว
"ผมก็บอกว่าผมเป็นห่วงทนายเบญ แต่ทหารก็ไม่ยอมให้พบ" วิญญัติกล่าว
วิญญัติกล่าวด้วยว่า ทหารไม่ได้แสดงอาการก้าวร้าวแต่อย่างใด เพียงแค่บอกให้เขารอพบผู้ต้องขังเท่านั้น ขณะเดียวกันก็ถูกจำกัดไม่ให้ออกนอกห้อง ไม่ให้ใช้มือถือ และไม่ยอมบอกว่าจะได้เจอหรือไม่ โดยมีทหารใส่ชุดฝึกลายพราง 2 นายมานั่งประกบอยู่ตลอดเวลา
วิญญัตินั่งรอต่อไปจนถึงช่วงบ่ายแก่ จึงมีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เข้ามาขอให้วิญญัติกลับไปเสียก่อน โดยระบุว่า "กลัวว่าจะมีปัญหากับทนายเพราะทหารไม่อยากให้อยู่"
โดยสรุปแล้ว วิญญัติขอเข้าพบผู้ต้องขังในเวลา 10.30 น. ถูกกักตัวให้รอ และได้ออกจากเรือนจำในเวลา 14.45 น. โดยได้มีโอกาสได้พบประธินลูกความของเขาเพียง 5 นาที
สำหรับเบญจรัตน์ เธอเล่าว่า หลังจากรออยู่พักใหญ่ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นสัญญาบัตรจากกองปราบ 2 คน เป็น ชาย 1 หญิง 1 มารับตัวเธอเพื่อจะนำตัวไปที่กองปราบฯ ทหารจึงยอมนำตัวเธอออกมา เธอได้แจ้งกับตำรวจว่ามีนัดที่ศาลในคดีที่รับผิดชอบอยู่ ต้องการขอไปเลื่อนนัดศาล ตำรวจหญิงจึงนั่งรถมากับเบญจรัตน์เพื่อเดินทางไปที่ศาลด้วย โดยนายตำรวจอีกคนขับรถตามหลังมา เมื่อถึงศาลนายตำรวจหญิงได้ติดตามเข้าไปนั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องพิจารณาคดี เบญจรัตน์จึงได้แจ้งปัญหาที่เกิดขึ้นต่อผู้พิพากษา ผู้พิพากษาให้เจ้าหน้าที่ศาลออกมาตำหนิเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าให้กระบวนการพิจารณาคดีดำเนินให้เสร็จสิ้นไปก่อนจึงค่อยคุมตัวไป
เบญจรัตน์เล่าต่อว่า เธอออกจากศาลในเวลาประมาณ 16.00 น. ตำรวจที่รออยู่มารับตัวพร้อมกับนำบันทึกที่มีเนื้อความว่า เบญจรัตน์ได้เดินทางไปกองปราบฯ ด้วยความสมัครใจมาให้เซ็นด้วยก่อนจะเดินทางไปกองปราบฯ เจ้าหน้าที่แจ้งเธอว่า ถ้าไม่ได้ตัวทนายไปในวันนี้จะถูกย้ายภายใน 7 วัน
เธอให้ปากคำอยู่ที่กองปราบฯ จนถึงประมาณ 21.00 น. โดยการให้ปากคำและแก้ไขเอกสารเป็นเรื่องปลีกย่อย ไม่ได้มีสาระสำคัญอะไรมากนัก สุดท้ายเบญจรัตน์จึงถามพนักงานสอบสวนยศพันตำรวจโทเจ้าของสำนวนว่า ต้องการอะไรกันแน่ พนักงานสอบสวนจึงได้แจ้งว่า “นาย” ต้องการให้ถอนการแจ้งความกล่าวโทษ แต่เบญจรัตน์ได้ยืนยันว่าไม่สามารถทำได้
"เรายืนยันไปว่าเป็นทนายความไม่สามารถถอนฟ้องได้ แต่เจ้าหน้าที่ก็บอกว่ามีใบมอบอำนาจจากผู้ต้องหาแล้วก็ถอนได้สิ" เบญจรัตน์กล่าวและอธิบายว่าเหตุที่ไม่สามารถอนการกล่าวโทษได้ เพราะตามหลักกฎหมายความผิดดังกล่าวเป็นอาญาแผ่นดิน เมื่อความผิดได้เกิดขึ้นแล้วไม่สามารถถอนการดำเนินคดีได้
เธอกล่าวต่อว่า นอกจากการถูกจับตา ติดตาม กดดันแล้ว เธอยังกังวลว่าอาจจะถูกคุกคามอีกเมื่อจะต้องเข้าไปสอบข้อเท็จจริงผู้ต้องขังทั้งสี่คนใน เรือนจำพิเศษ มทบ.11 ในครั้งถัดๆ ไป
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น