9 ปีรัฐประหาร ลำดับความคิดเมื่อ 9 ปีก่อน
9 ปีที่แล้วคุณอยู่ที่ไหน ต้นปี 49 ผมไม่ต่างจากสื่อ นักเคลื่อนไหว คนที่เชื่อว่าตัวเองรักประชาธิปไตยทั้งหลาย ที่เห็นว่าต้องไล่ทักษิณ ถ้าลำดับความให้ชัด ผมเลือกพรรคไทยรักไทยเมื่อปี 44 เพราะเบื่อพรรคปลัดประเทศ ดีใจที่เห็นเพื่อนพี่เดือนตุลาเข้าไปเป็นรัฐบาล ที่เชียร์สุดๆ ตอนนั้นคือ 30 บาทรักษาทุกโรค แต่ที่เริ่มไม่ชอบใจ หรือเรียกว่าจุด "ไม่เอา" คือการสลายม็อบท่อก๊าซที่หาดใหญ่ ปลายปี 45
ผมไม่ได้เห็นด้วยกับม็อบท่อก๊าซเลยนะ แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการใช้กำลังสลายม็อบมากกว่า ตอนนั้นละที่ผมเริ่ม "ไม่เอา" ทักษิณเพราะมองว่า "อำนาจนิยม" (และชื่นชมพี่โป๊ะ วัชรพันธ์ จันทรขจร ที่ลาออกจากผู้ช่วยเลขานายกฯ) คือในมุมหนึ่งผมรู้ว่าม็อบท่อก๊าซ ที่จริงก็ไม่ต่างจากม็อบพันธมิตร (นิสัย NGO) ที่พยายามจะ "หาเหตุ" แต่รัฐบาลก็ไม่ควรใช้กำลัง ตอนนั้นพวกคนตุลาในรัฐบาลพยายามเจรจาแต่ไม่มีใครฟัง ทักษิณสั่งสันต์ ผบ.ตร.สลายม็อบเพื่อรักษาหน้ารัฐบาล
หลังจากนั้นผมก็เริ่มหมั่นไส้ความกร่างความเป็นอำนาจนิยมของทักษิณมากขึ้นทุกวันๆ (แต่วันนี้มีคนกร่างยิ่งกว่าทักษิณหลายเท่า)
ปี 48 ผมเชียร์พรรคซินตึ๊ง เอนก เหล่าธรรมทัศน์ กับสังศิต พิริยะรังสรรค์ (ครูการเมืองผมในป่า) เสียคะแนนตกน้ำฟรี แล้วก็เป็นสลิ่มอยู่พัก (ฮา) ด่าคนเลือกทักษิณว่าโง่ จนสนธิ ลิ้ม ก่อม็อบสวนลุม ผมก็เห็นด้วยว่าต้องไล่ทักษิณ แต่ไม่เห็นด้วยกับสนธิตั้งแต่แรก ที่ดึงสถาบันมาอ้าง เพราะนี่คือการเมืองเรื่องประชาธิปไตย อย่าดึงสถาบันกษัตริย์มาให้ร้ายเพื่อโค่นล้มกัน (พี่เปลว สีเงิน ตอนนั้นก็เขียนด่าสนธิ "แปลงสถาบันเป็นอาวุธ" ยังจำคำนี้แม่น)
ทักษิณขายหุ้น ที่จริงผมก็เชื่อนะว่าทักษิณมีผลประโยชน์ทับซ้อน แต่ผมก็เห็นต่างจากพวกที่โจมตีว่า "ขายชินขายชาติ" เอ๊ะมันประหลาดตรงไหนวะ คุณจะไปห้ามเขาขายหุ้นได้ไง (คือผมไม่ใช่พวกชาตินิยมอยู่แล้ว ยังหัวร่อกลิ้งกับตรรกะพวกนี้ที่ว่าต้องให้หุ้นอยู่ในมือคนไทย อ้าว ก็ไหนเกลียดทักกี้ฉิบหายแต่ยังอยากให้ทักกี้ถือหุ้น) "ขายหุ้นไม่เสียภาษี" ก็มันขายในตลาด ก่อนหน้านั้นเสี่ยบุญชัยขายดีแทคก็ไม่เสียภาษี คุณจะเอาเป็นเอาตายอะไร คือถ้าจะว่าโกง ว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน ก็ว่าไปเป็นเรื่องๆ แต่ขายหุ้นไม่ผิด ไม่เสียภาษีก็เรื่องปกติ แต่มันคืออารมณ์คนชั้นกลาง เกลียดแล้วไม่มีเหตุผล
แต่ยังไงๆ ตอนนั้นผมก็ยังเชียร์ให้ไล่ทักษิณ ยิ่งพอตั้งพันธมิตร มีพิภพ ธงไชย, สุริยะใส กตะศิลา, สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์, สมศักดิ์ โกศัยสุข โห พวกเราทั้งนั้นเรยย... เชียร์สิครับ ตอนนั้นถึงได้สัมภาษณ์กันถี่ยิบ ทักษิณยุบสภา ฝ่ายค้านบอยคอตต์เลือกตั้ง ผมก็ยังไป Vote No
แต่จุดแตกมันก็มาอยู่ที่ ม.7 เหมือนหลายๆ คนนั่นแหละ น่าทุเรศที่พวกเราทั้งนั้นเรยย ตอนแรกบอกไม่เอ๊าไม่เอา ที่ไหนได้... บทเรียนเรื่องนี้สอนว่าเมื่อเข้าไปอยู่ในการต่อสู้เต็มตัว เป็นแกนนำ ไม่ว่าสีไหน ถ้าจุดยืนไม่มั่นคง คุณจะ in จนหน้ามืด ทำได้ทุกอย่างเพื่อเอาชนะทางการเมือง (นี่ต้องยกย่อง บก.ลายจุด เพราะไม่เคยถลำไปแบบนั้นเลย ไม่เคยเป็นแกนนำ เป็นแต่แกนนอน)
หลังจากนั้นผมก็เริ่มไม่เห็นด้วยกับตุลาการภิวัตน์ ตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินเลือกตั้งโมฆะ เพียงเพราะหันคูหาออก ที่จริงผมก็เห็นด้วยว่าต้องหาทางยกเลิกการเลือกตั้ง 2 เมษา เพื่อเลือกตั้งใหม่ แต่ไม่ใช่วิธีโมเมอย่างนี้
ศาลยุติธรรมตัดสิน กกต. "3 หนา" เข้าคุกไม่ให้ประกัน จนต้องลาออก ที่จริงผมก็เห็นด้วยว่า กกต.ชุดนั้นควรลาออก เพื่อจัดเลือกตั้งใหม่ แต่วิธีการที่ใช้นี่นะ
ก็เอาละ ยังไงๆ ก็จะไปสู่เลือกตั้ง แต่ที่ไหนได้ เลือก กกต.ใหม่แล้ว กำหนดวันเลือกตั้งแล้ว พันธมิตรกลับนัดชุมนุม สร้างเงื่อนไขให้สนธิ บัง โมเมหาว่าจะเกิดม็อบชนม็อบ ดำรงค์ พิเดช (ที่ตอนหลังกลายเป็นขวัญใจคนรักป่า) จะเอากำลัง จนท.อุทยานมาซุ่มทำร้าย ฯลฯ แล้วก็ทำรัฐประหาร
ตอนแรกผมก็ยังไม่เชื่อนะว่าประเทศไทยจะมีรัฐประหารได้อีก แต่ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน เจอเพื่อนเก่าวรรณศิลป์ธรรมศาสตร์ (เป็นคนที่ดึงผมมาทำกิจกรรม เป็น "จัดตั้ง" ทางความคิดตั้งแต่สมัยนักศึกษา ว่างั้นเถอะ) เขาเตือนว่า เฮ้ย นี่มันสัญญาณรัฐประหารชัดๆ ผมก็เลยเขียนลงคอลัมน์ตอบจดหมายที่ไทยโพสต์ว่าถ้าเกิดรัฐประหารจะไปขายก๋วยเตี๋ยวดีกว่า มีประโยชน์อะไรที่จะมาทำหน้าที่สื่อ เพราะสื่อต้องอยู่คู่กับเสรีภาพประชาธิปไตย (แต่นี่สื่อพากันสร้างเงื่อนไขจนเกิดรัฐประหาร) พอวันที่ 19 ก.ย.เกิดรัฐประหารจริงๆ ด้วยความยัวะ ผมก็ลงจดหมายผู้อ่านไป โดยไม่ตอบ ตอนท้ายคอลัมน์ ลงรูปวาดลายเส้นชามก๋วยเตี๋ยวแทน


 
Top