คนข้ามเพศดีใจได้รับการยอมรับมากขึ้นในการเกณฑ์ทหาร ศัพท์ “โรคจิตถาวร” หายกลายเป็น “เพศสภาพไม่ตรงเพศกำเนิด” แต่ยังเหลือการหยอกล้อขอจับเนื้อตัว ทหารออกคำสั่งทั่วประเทศห้ามตรวจร่างกายในที่สาธารณะ ชี้ไม่เรียกเป็นกำลังสำรองแน่นอน
บ่ายวันนี้ 19 ก.พ. มีการจัดแถลงข่าวขององค์กรด้านสิทธิมนุษยชนของคนข้ามเพศ ในหัวข้อ “เมื่อดิฉันต้องไปเกณฑ์ทหาร” ที่โรงแรมเอเชีย พร้อมเปิดตัวคู่มือคนข้ามเพศเมื่อต้องเข้าสู่การเกณฑ์ทหาร โดยมีสื่อมวลชนและคนข้ามเพศเข้าร่วมรับฟังจำนวนมาก
นายรณภูมิ สามัคคีรมย์ ประธานโครงการจัดตั้งเครือข่ายเพื่อนกระเทยไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า ทหารเป็นพื้นที่ของผู้ชายซึ่งมักไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับคนข้ามเพศ ทำให้มีการละเมิด เช่นการหยอกล้อ หรือตรวจร่างกายในที่เปิดเผย ที่สำคัญคือมองว่าคนข้ามเพศเป็นอาการของโรคชนิดหนึ่ง ในช่วงปี 2549 คนข้ามเพศที่ไม่ผ่านการคัดเลือกเกณฑ์ทหาร จะถูกระบุในเอกสาร สด.43 ว่าเป็นโรคจิต หรือโรคจิตถาวร ทำให้มีปัญหาเมื่อนำเอกสารดังกล่าวไปใช้สมัครงาน
อย่างไรก็ตาม นายรณภูมิกล่าวว่า หลังจากที่ศาลปกครองมีคำวินิจฉัยว่าการระบุเช่นนั้นเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายจากกรณีคำร้องของสามารถ มีเจริญ หรือน้องน้ำหวาน หลังจากนั้นทางเครือข่ายเพื่อนกระเทยไทยฯ ได้ทำงานร่วมกับสัสดีอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ในการการเกณฑ์ทหารมีการละเมิดสิทธิของคนข้ามเพศน้อยที่สุด และได้นำไปสู่การเปลี่ยนถ้อยคำจากโรคจิตถาวรเป็น “เพศสภาพไม่ตรงกับเพศกำเนิด”
นายรณภูมิกล่าวว่า ในช่วง 2 ปีมานี้ มีคนข้ามเพศเข้ารับการเกณฑ์ทหารราว 900 คนต่อปี จากการลงพื้นที่สังเกตการณ์กระบวนการเกณฑ์ทหารทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดพบว่า มีความเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก มีการดูแลและให้เกียรติคนข้ามเพศมากขึ้น แต่ในส่วนของเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการยังมีการล่วงละเมิดด้วยวาจา บางครั้งมีการขอดูหรือจับอวัยวะที่ผ่าตัดแล้ว และเจ้าหน้าที่ระดับองค์กรปกครองท้องถิ่นยังมีทัศนะต่อคนข้ามเพศว่าเป็นตัวตลก
ทางด้าน พ.ท.ปิยะชาติ ประสานนาม ตัวแทนจากหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน กระทรวงกลาโหม กล่าวว่า จากกรณีการร้องเรียนของน้องน้ำหวานในปี 2549 กองกำลังรักษาดินแดนได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาถ้อยคำที่เหมาะสมสำหรับคนข้ามเพศ และในปี 2555 มีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนนำมาใช้กับคนข้ามเพศ โดยให้ระบุว่าเป็นบุคคลที่เพศสภาพไม่ตรงกับเพศกำเนิด และได้ประชาสัมพันธ์ไปยังหน่วยงานสัสดีทั่วประเทศ 928 แห่ง ไม่ให้ใช้คำว่าโรคจิตถาวรอีกต่อไป
พ.ท.ปิยะชาติ กล่าวว่า มีการกำหนดนโยบายให้คณะกรรมการตรวจเลือกทหารกองเกิน 153 คณะทั่วประเทศปฏิบัติต่อคนข้ามเพศเช่นเดียวกับสุภาพสตรี และกรณีที่มีการตรวจร่างกายต้องทำในห้องลับ และมีผู้ตรวจเพียง 3 คน ได้แก่ ประธานกรรมการตรวจเลือกฯ แพทย์ และสัสดีจังหวัด และมีการจัดชุดสังเกตการณ์หากในระดับปฏิบัติการมีการปฏิบัติต่อคนข้ามเพศที่ไม่เหมาะสม จะมีบทลงโทษ
สำหรับหลักเกณฑ์ที่ใช้พิจารณาคนข้ามเพศ พ.ท.ปิยะชาติ กล่าวว่า ประกอบไปด้วย 3 หลักเกณฑ์ ได้แก่ การผ่าตัดแปลงเพศโดยมีหนังสือรับรองจากแพทย์ กรณีที่ยังไม่ได้แปลงเพศแต่มีการเปลี่ยนแปลงอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่น หน้าอก และกรณีที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพ ซึ่งจะต้องรับการตรวจจากโรงพยาบาลของกองทัพบกเพื่อขอใบรับรองเพศสภาพ และในกรณีที่กำหนดให้คนข้ามเพศไม่ต้องเป็นทหารนั้น ไม่ได้ตัดสิทธิ์ในการสมัครเข้าเป็นตำรวจ หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจแต่อย่างใด
ในส่วนของคนข้ามเพศที่ร่วมรับฟัง มีความกังวลเกี่ยวกับกรณีที่ พ.ร.บ.กำลังพลสำรอง บังคับใช้มาตั้งแต่ปลาย ธ.ค.2558 ซึ่งจะมีการเรียกกำลังพลสำรองทั้งทหารและตำรวจ ว่าจะมีผลต่อคนข้ามเพศที่ผ่านกระบวนการคัดเลือกทหารแล้วหรือไม่ พ.ท.ปิยะชาติ กล่าวว่า กรณีการเรียกกำลังพลสำรองต้องมีการออกกฎกระทรวงก่อน และจัดทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการร่าง และใช้เวลาอีก 24 วันกว่ากฎกระทรวงจะเป็นรูปเป็นร่าง แต่จะไม่มีการเรียกผู้ที่มีเพศสภาพไม่ตรงกับเพศกำเนิดมาเป็นกำลังสำรอง จึงไม่ต้องกังวลใจ
พ.ท.ปิยะชาติ กล่าวเตือนในตอนท้ายว่า ไม่ควรขาดการเกณฑ์ทหาร เนื่องจากจะถูกดำเนินคดีและมีบทลงโทษ เมื่อพ้นโทษแล้ว ในปีต่อมาจะถูกจับไปเป็นทหารทันที โดยไม่มีข้อยกเว้นว่าเป็นผู้ที่มีเพศสภาพไม่ตรงกับเพศกำเนิดหรือไม่
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น