เหตุใดญี่ปุ่นจึงยังคงล่าวาฬอยู่ ?
ปัจจุบันการล่าวาฬไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเลี้ยงปากท้องชาวญี่ปุ่น หรือเพื่อประโยชน์เชิงเศรษฐกิจอีกต่อไป ทั้งยังก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากนานาชาติ แต่ญี่ปุ่นก็ยังคงดำเนินกิจกรรมนี้เรื่อยมา รูเพิร์ต วิงฟิลด์-เฮย์ส ผู้สื่อข่าวบีบีซี บอกว่า เรื่องนี้ไม่ได้มีสาเหตุหลักมาจากประเด็นด้านวัฒนธรรม แต่เป็นเรื่องของผลประโยชน์ทางการเมือง
รัฐบาลญี่ปุ่นมักอ้างว่าการล่าวาฬเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมเก่าแก่ของประเทศ โดยที่ชาวประมงสืบทอดเรื่องการล่าวาฬมานานหลายร้อยปี และญี่ปุ่นจะไม่ยอมให้ต่างชาติเข้ามาก้าวก่ายเรื่องอาหารการกินของตน
ปัจจุบันการล่าวาฬไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเลี้ยงปากท้องชาวญี่ปุ่น หรือเพื่อประโยชน์เชิงเศรษฐกิจอีกต่อไป ทั้งยังก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากนานาชาติ แต่ญี่ปุ่นก็ยังคงดำเนินกิจกรรมนี้เรื่อยมา รูเพิร์ต วิงฟิลด์-เฮย์ส ผู้สื่อข่าวบีบีซี บอกว่า เรื่องนี้ไม่ได้มีสาเหตุหลักมาจากประเด็นด้านวัฒนธรรม แต่เป็นเรื่องของผลประโยชน์ทางการเมือง
รัฐบาลญี่ปุ่นมักอ้างว่าการล่าวาฬเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมเก่าแก่ของประเทศ โดยที่ชาวประมงสืบทอดเรื่องการล่าวาฬมานานหลายร้อยปี และญี่ปุ่นจะไม่ยอมให้ต่างชาติเข้ามาก้าวก่ายเรื่องอาหารการกินของตน
ผู้สื่อข่าวบีบีซี บอกว่า ข้ออ้างดังกล่าวมีความชอบธรรมอยู่บ้าง เพราะชุมชนชายฝั่งทะเลหลายแห่งในญี่ปุ่นมีประเพณีการล่าวาฬที่สืบทอดกันมา ยาวนานหลายร้อยปีจริง ยกตัวอย่างเช่น เมืองไทจิ ในจังหวัดวากายามะ ที่ขึ้นชื่อเรื่องการล่าโลมาประจำปี ส่วนที่จังหวัดจิบะ และเมืองอิชิโนะมากิทางภาคเหนือ ก็มีการล่าวาฬตามแนวชายฝั่ง ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมญี่ปุ่น เช่นเดียวกับวัฒนธรรมของนอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และชนพื้นเมืองอินูอิต ทางภาคเหนือของแคนาดา
อย่างไรก็ตาม การที่ญี่ปุ่นส่งกองเรือออกไปล่าวาฬเป็นจำนวนมากในทะเลแถบขั้วโลกใต้นั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องวัฒนธรรมแต่อย่างใด ทว่าเพิ่งจะมีขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งญี่ปุ่นตกอยู่ในสภาพแพ้สงคราม ประชาชนอยู่ในภาวะอดอยาก ดังนั้น พลเอกดักลาส แมกอาร์เธอร์ จึงสนับสนุนให้ญี่ปุ่นดัดแปลงเรือบรรทุกน้ำมันของกองทัพเรือสหรัฐฯไปใช้เป็น เรือล่าวาฬในขั้วโลกใต้เพื่อนำมาเลี้ยงชาวญี่ปุ่นที่กำลังหิวโหย ทำให้ตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ 1940-1960 เนื้อวาฬได้กลายเป็นเนื้อสัตว์หลักที่ชาวญี่ปุ่นบริโภค โดยในปี 1964 ญี่ปุ่นฆ่าวาฬไปกว่า 24,000 ตัวภายในปีเดียว ส่วนใหญ่เป็นวาฬฟิน และวาฬหัวทุย
ปัจจุบันญี่ปุ่นสามารถนำเข้าเนื้อสัตว์จากออสเตรเลียและอเมริกา ทว่ายังคงการล่าวาฬในทะเลน้ำลึกแถบขั้วโลกใต้ต่อไป โดยเป็นกิจกรรมที่ทางการญี่ปุ่นใช้เงินภาษีของประชาชนในการดำเนินงานและอ้าง ว่าเป็น “การวิจัยทางวิทยาศาสตร์” แม้ว่าในปัจจุบันชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะไม่นิยมบริโภคเนื้อวาฬแล้วก็ตาม โดยมีข้อมูลว่าเมื่อปีก่อน ชาวญี่ปุ่นบริโภคเนื้อวาฬโดยเฉลี่ยคนละ 30 กรัมเท่านั้น
เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งในรัฐบาล ยอมรับว่าการล่าวาฬในแถบขั้วโลกใต้ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมญี่ปุ่น ทั้งยังทำลายภาพลักษณ์ของประเทศในสายตานานาชาติ และไม่มีความต้องการเนื้อวาฬในเชิงพาณิชย์ด้วย เขาคิดว่า การล่าวาฬในทะเลน้ำลึกจะหมดไปในอีก 10 ปีข้างหน้า แต่ที่ยังไม่สามารถยุติได้ในตอนนี้ก็เพราะเหตุผลทางด้านการเมืองบางประการ
จุนโกะ ซากุมะ ที่เคยทำงานให้องค์กรกรีนพีซในญี่ปุ่น บอกว่า การล่าวาฬเป็นโครงการภายใต้หน่วยงานราชการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณก้อนโต สำหรับการดำเนินงาน ดังนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องจึงพยายามต่อสู้เพื่อให้โครงการนี้ดำเนินต่อไป ขณะเดียวกัน นักการเมืองที่มีฐานเสียงในเขตเลือกตั้งที่สนับสนุนการล่าวาฬ ก็ต้องพยายามรักษาคะแนนนิยมของตนด้วยการรับปากจะให้มีการล่าวาฬเชิงพาณิชย์ ได้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม การที่ญี่ปุ่นส่งกองเรือออกไปล่าวาฬเป็นจำนวนมากในทะเลแถบขั้วโลกใต้นั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องวัฒนธรรมแต่อย่างใด ทว่าเพิ่งจะมีขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งญี่ปุ่นตกอยู่ในสภาพแพ้สงคราม ประชาชนอยู่ในภาวะอดอยาก ดังนั้น พลเอกดักลาส แมกอาร์เธอร์ จึงสนับสนุนให้ญี่ปุ่นดัดแปลงเรือบรรทุกน้ำมันของกองทัพเรือสหรัฐฯไปใช้เป็น เรือล่าวาฬในขั้วโลกใต้เพื่อนำมาเลี้ยงชาวญี่ปุ่นที่กำลังหิวโหย ทำให้ตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ 1940-1960 เนื้อวาฬได้กลายเป็นเนื้อสัตว์หลักที่ชาวญี่ปุ่นบริโภค โดยในปี 1964 ญี่ปุ่นฆ่าวาฬไปกว่า 24,000 ตัวภายในปีเดียว ส่วนใหญ่เป็นวาฬฟิน และวาฬหัวทุย
ปัจจุบันญี่ปุ่นสามารถนำเข้าเนื้อสัตว์จากออสเตรเลียและอเมริกา ทว่ายังคงการล่าวาฬในทะเลน้ำลึกแถบขั้วโลกใต้ต่อไป โดยเป็นกิจกรรมที่ทางการญี่ปุ่นใช้เงินภาษีของประชาชนในการดำเนินงานและอ้าง ว่าเป็น “การวิจัยทางวิทยาศาสตร์” แม้ว่าในปัจจุบันชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะไม่นิยมบริโภคเนื้อวาฬแล้วก็ตาม โดยมีข้อมูลว่าเมื่อปีก่อน ชาวญี่ปุ่นบริโภคเนื้อวาฬโดยเฉลี่ยคนละ 30 กรัมเท่านั้น
เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งในรัฐบาล ยอมรับว่าการล่าวาฬในแถบขั้วโลกใต้ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมญี่ปุ่น ทั้งยังทำลายภาพลักษณ์ของประเทศในสายตานานาชาติ และไม่มีความต้องการเนื้อวาฬในเชิงพาณิชย์ด้วย เขาคิดว่า การล่าวาฬในทะเลน้ำลึกจะหมดไปในอีก 10 ปีข้างหน้า แต่ที่ยังไม่สามารถยุติได้ในตอนนี้ก็เพราะเหตุผลทางด้านการเมืองบางประการ
จุนโกะ ซากุมะ ที่เคยทำงานให้องค์กรกรีนพีซในญี่ปุ่น บอกว่า การล่าวาฬเป็นโครงการภายใต้หน่วยงานราชการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณก้อนโต สำหรับการดำเนินงาน ดังนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องจึงพยายามต่อสู้เพื่อให้โครงการนี้ดำเนินต่อไป ขณะเดียวกัน นักการเมืองที่มีฐานเสียงในเขตเลือกตั้งที่สนับสนุนการล่าวาฬ ก็ต้องพยายามรักษาคะแนนนิยมของตนด้วยการรับปากจะให้มีการล่าวาฬเชิงพาณิชย์ ได้อีกครั้ง
Loading video...
Posted by บีบีซีไทย - BBC Thai on Tuesday, February 9, 2016
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น