ว่าด้วยศาล รธน.พ่อ-ง
รธน.ที่อ้างปราบโกง ไม่มีตรงไหนปราบโกง การตัดสิทธิคนถูกศาลตัดสินทุจริต มีมาหลายฉบับแล้ว ที่เพิ่มคือ ไปเอาความผิดอาญาอื่นๆ มาห้าม ห้ามกระทั่งคดีการพนัน แต่คดีข่มขืนทำไมไม่ห้าม (พวกบ้ารณรงค์ข่มขืนโทษประหารน่าจะไปถามมีชัย)
แล้วยังไปห้ามคนพ้นคุกคดีอื่นๆ ไม่ให้สมัคร ส.ส. 10 ปี พูดให้ถึงที่สุดคือดูถูกประชาชน มันเป็นสิทธิที่คนจะเลือก ดูอย่างชูวิทย์ คนก็รู้ว่าผิด ทำไมเลือกเป็นล้าน
รธน.ที่อ้างปราบโกง ไม่มีตรงไหนปราบโกง การตัดสิทธิคนถูกศาลตัดสินทุจริต มีมาหลายฉบับแล้ว ที่เพิ่มคือ ไปเอาความผิดอาญาอื่นๆ มาห้าม ห้ามกระทั่งคดีการพนัน แต่คดีข่มขืนทำไมไม่ห้าม (พวกบ้ารณรงค์ข่มขืนโทษประหารน่าจะไปถามมีชัย)
แล้วยังไปห้ามคนพ้นคุกคดีอื่นๆ ไม่ให้สมัคร ส.ส. 10 ปี พูดให้ถึงที่สุดคือดูถูกประชาชน มันเป็นสิทธิที่คนจะเลือก ดูอย่างชูวิทย์ คนก็รู้ว่าผิด ทำไมเลือกเป็นล้าน
ของจริงที่เพิ่มคืออำนาจศาล องค์กรอิสระ ถอดถอนตัดสิทธิ
เล่นงานนักการเมืองได้ง่ายๆ โดยไม่มีหลักเกณฑ์ทางกฎหมาย
เพียงแต่ใช้คนใส่เสื้อครุยมาชี้แล้วอ้างว่าคือศาล
ศาลไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์ที่ตัวคนแต่ศักดิ์สิทธิ์ที่กระบวนการและกฎหมาย การเอาคนเข้าคุกต้องพิสูจน์จนสิ้นสงสัย แต่นี่ กกต. ศาลฎีกา แจกใบแดงเพียงเพราะ "เชื่อได้ว่า" โดยยังไม่พิสูจน์จนติดคุก ศาลไม่ใช่เปาบุ้นจิ้น เพราะไม่มีอำนาจสืบสวนสอบสวนเองลงโทษเอง ต้องนั่งตรงกลางฟังโจทก์จำเลย แต่องค์กรอิสระ มีอำนาจสอบสวนเองตัดสินเอง
ที่จริงมีอำนาจ 3 ฝ่ายครบในตัว เพราะออกกฎระเบียบเองได้ เพิ่มเลขาเพิ่มผู้เชี่ยวชาญ แล้วตั้งลูกตัวเองเป็นก็ได้
ศาลต้องใช้อำนาจตามตัวบทกฎหมายอย่างเคร่งครัดและจำกัด เพราะเป็นอำนาจที่ชี้ขาด เป็นที่สุด แต่มีชัยเขียนให้อำนาจศาล รธน.อย่างกว้าง ตั้งแต่ ม.207 สามารถตีความเกินกฎหมาย โธ่ถัง ศาลอะไรจะมาชี้ทางออกวิกฤติ แล้วทำให้ประชาชนยอมรับได้ ศาลเป็นแค่นักกฎหมาย (บิดเบี้ยวด้วย) ไม่ใช่ "ผู้มีบุญญาบารมีที่คนเคารพศรัทธา"
ศาล รธน.มีอำนาจปลด ครม.ได้ ตามมาตรา 139 การแปรญัตติงบประมาณ อ่านยังไงก็ไม่เข้าใจ ว่า ครม.จะไปทำผิดได้ไง (ครม.เสนองบ สภาแปรญัตติ) ข้อนี้ยังสงสัย มีชัยจะหมกไว้เขียนในกฎหมายประกอบ รธน.
ศาล รธน. มีอำนาจปลดนายกฯ หรือ รมต.ได้ ถ้าขัดคุณสมบัติ "มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์" "ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่าง ร้ายแรง" โดยให้ ส.ส. ส.ว.เข้าชื่อ ให้ ปปช.ยื่น ให้ กกต.ยื่น
อะไรคือความผิด "ขัดจริยธรรม" "ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต" ซึ่งไม่ใช่การทำผิดกฎหมาย เพราะถ้าทุจริตผิดกฎหมาย ก็โดน ปปช.ส่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ไปแล้วสิ มันคือพฤติกรรมที่ถูกมองว่าไม่เหมาะสม ถูกกล่าวหา ถูกตั้งข้อสงสัย แต่เอาผิดไม่ได้ ก็เลยจะมาให้ศาล รธน.ตีขลุม ทั้งที่มันเป็นเรื่องทางสังคมการเมือง เหมือนปากประยุทธ์ เหมาะสมเป็นผู้นำหรือไม่ สังคมก็วิจารณ์กันไป มีทั้งคนชอบไม่ชอบ แต่ยังไงก็เอาคน 9 คนมาชี้ถูกชี้ผิดไม่ได้ (แต่ถ้าเป็นนายกฯ จากเลือกตั้ง ประชาชนไม่เลือกแน่ 55)
ร่างรัฐธรรมนูญมีชัยทิ้ง "จุดขาย" ที่รัฐธรรมนูญ 2550 เคยใช้ 3 จุดด้วยกันคือ "รับรัฐธรรมนูญเลือกตั้งเร็ว" เพราะยืดโรดแม็ป 6-4 เป็น 8-2-5 "รับไปก่อนแก้ทีหลัง แก้ง่ายนิดเดียว" เพราะรับแล้วแก้ไม่ได้เลย "สิทธิชุมชนอันงดงาม" ซึ่งทำให้ NGO กรี๊ดสนั่นเมือง (ทั้งที่เคยเชียร์ร่าง คปป.)
ก็สงสัย แล้วจะเอาอะไรขาย ที่ไหนได้ปู่ชู "ปราบโกง" เห็นผล เปล่า! ไม่ใช่ที่เนื้อหา แต่มีคนปลุกกระแสว่าเมื่อนักการเมืองชั่วหวาดกลัว ก็แปลว่าร่างรัฐธรรมนูญนี้เป็นยันต์ปราบผี ไม่ต้องไปอ่านให้เสียเวลา ลงประชามติรับเลย
กลายเป็น "รัฐธรรมนูญแห่งความเกลียดชัง" เกลียดแล้วไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง เหมือนเกลียดทักษิณเลือกสุขุมพันธุ์
ถามจริง ปราบโกงตรงไหน "ทุจริตตัดสิทธิตลอดชีวิต" ข้อห้ามผู้ถูกศาลตัดสินทุจริตก็มีทุกฉบับ นี่กลับไปเพิ่มคดีอื่น มาตรา 93(7) (10) ต้องพ้นโทษจำคุกเกิน 10 ปีจากเดิม 5 ปี และห้ามเพิ่มหลายความผิดรวมทั้งการพนัน แต่ไม่ยักห้ามฆ่าคนตาย ข่มขืนฆ่า ฯลฯ พ้นโทษมา 10 ปีสมัครส.ส.ได้
ไร้สาระมีแต่พวกดูถูกประชาชนที่คิดว่าชาวบ้านจะเลือกคนเคยติดคุกติดตะราง แต่ถ้าเขาเลือก ก็แปลว่าคนๆ นั้นกลับเนื้อกลับตัวหรือเป็นปากเสียงให้เขาได้
อ้าวดูอย่างชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ คนรู้ไหมว่าทำผิด ทำไมคะแนนเป็นล้าน
"ปราบโกง" เอาเข้าจริงคือเพิ่มอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ ให้เล่นงานนักการเมืองได้ง่าย โดยไม่เป็นไปตามกระบวน การยุติธรรม
อำนาจตุลาการศักดิ์สิทธิ์ที่กระบวนการพิสูจน์พยานหลักฐาน โต้แย้งเหตุผลทางกฎหมาย ไม่ใช่ศักดิ์สิทธิ์ที่ตัวคนเป็นๆ ซึ่งมีสิทธิ "ป่วย" เหมือนชาวบ้าน อำนาจตุลาการจึงต้องพิสูจน์ให้สิ้นสงสัย เช่นจะลงโทษคนทุจริตเลือกตั้ง ก็ต้องพิสูจน์จนถึงตัดสินจำคุก ไม่ใช่ให้กกต.หรือศาลฎีกา "เชื่อได้ว่าทุจริต" แล้วตัดสิทธิโดยประชาชนไม่สิ้นสงสัย
อำนาจตุลาการมีอำนาจชี้ขาดจึงต้องใช้อย่างจำกัด เป็นกลาง ศาลยุติธรรมจึงไม่ใช่ "เปาบุ้นจิ้น" เพราะไม่ได้ไต่สวนเอง ตัดสินเอง แต่นั่งบัลลังก์ชั่งน้ำหนักทั้งสองฝ่าย
องค์กรอิสระกลับมีอำนาจ มากกว่าศาล สอบสวนเอง ตัดสินเอง มีทั้งอำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ กระทั่งอำนาจนิติบัญญัติ ออกระเบียบเพิ่มเลขาฯผู้เชี่ยวชาญ แล้วตั้งลูกตัวเองได้
กกต.มีทั้งอำนาจจัดเลือกตั้ง สอบสวน ตัดสิทธิ ยังเพิ่มอำนาจตรวจสอบนโยบายการเงินการคลังร่วมกับป.ป.ช. สตง. ตามมาตรา 241
สตง.นอกจากมีอำนาจตรวจนโยบาย มาตรา 236(5) ยังให้อำนาจลงโทษทางปกครองผู้ทำผิดกฎหมายวินัยการเงินการคลัง ใครโดนลงโทษต้องไปอุทธรณ์ศาลปกครองสูงสุด เท่ากับสตง.เป็นศาลชั้นต้น
ศาลรัฐธรรมนูญของมีชัยต่างจากปี"50 เพราะเขียนแยกจากหมวดศาล ให้อำนาจไม่จำกัด "พ่อทุกองค์กร" มีอำนาจชี้เป็น ชี้ตายรัฐบาล มีอำนาจเหนือทุกศาล ยึดอำนาจวินิจฉัยวิกฤต ม.7 มาไว้ใน ม.207 โดยสามารถตีความเกินกฎหมาย ทั้งที่ศาลไม่ใช่ผู้มีบุญบารมี ที่ประชาชนเคารพศรัทธา จนชี้ทางออกได้ยามวิกฤต
กรธ.บอกไม่ได้เพิ่มอำนาจ เพราะศาลมีอำนาจตีความรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ใช่ครับ แต่ท่านเขียนรัฐธรรมนูญให้ศาลตีความได้กว้าง
ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจปลดคณะรัฐมนตรี ถ้าทำผิดมาตรา 139 มีส่วนได้เสียกับการเสนอหรือแปรญัตติงบประมาณ มันคืออะไร กรธ.เขียนไว้คลุมเครือ ถ้าส.ส.แปรญัตติเข้าพื้นที่ยังพอเข้าใจ แต่ครม.เสนองบทั้งประเทศทุกพื้นที่ ศาลจะวินิจฉัยอย่างไร
การเขียน กฎหมายให้อำนาจศาลต้องเคร่งครัดชัดเจน ไม่เปิดช่องกว้างให้ใช้ความเห็นเป็นใหญ่ เช่น มาตรา 155 (4) (5) บัญญัติคุณสมบัติรัฐมนตรี "มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์" "ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่าง ร้ายแรง" ฟังดูก็สวยใส แต่มาตรา 165, 231 ให้ส.ส. ส.ว.เข้าชื่อ หรือป.ป.ช.ไต่สวนว่าฝ่าฝืนจริยธรรมแล้วส่งศาลรัฐธรรมนูญตัดสินปลดนายกฯ หรือรัฐมนตรีได้
อะไรคือ "ฝ่าฝืนจริยธรรม" หรือ "ไม่ซื่อสัตย์สุจริต" ชัดเจนว่าไม่ใช่การทุจริตทำผิดกฎหมาย เพราะถ้าทุจริตก็ต้องส่งศาลฎีกาฯ
นี่แปลว่าจะเอาผิดพฤติกรรมที่มีคนเห็นว่า "ไม่เหมาะสม" แต่ไม่ผิดกฎหมาย โดยบทเฉพาะกาลให้ศาลไปออกมาตรฐานจริยธรรม แล้วเอามาใช้ปลดนักการเมือง
จริยธรรมความเหมาะสม ไม่เหมาะสม ถ้ากฎหมายไม่บัญญัติว่าผิด ก็เป็นความเห็นทางสังคม ซึ่งแตกต่างหลากหลาย ยกตัวอย่างนายกฯใช้วาจากับสื่อ บางคนบอกไม่เหมาะเป็นผู้นำ บางคนชอบสะใจจัง แล้วจะเอาความเห็นคน 9 คนมาตัดสินได้ไง เขียนรัฐธรรมนูญแบบนี้เท่ากับเปิดช่องให้ตุลาการกำจัดคนข้างเดิม แล้วประเทศจะไม่ยิ่งแตกแยกได้อย่างไร
source :- FB Atukkit Sawangsuk & http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1454591688
ศาลไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์ที่ตัวคนแต่ศักดิ์สิทธิ์ที่กระบวนการและกฎหมาย การเอาคนเข้าคุกต้องพิสูจน์จนสิ้นสงสัย แต่นี่ กกต. ศาลฎีกา แจกใบแดงเพียงเพราะ "เชื่อได้ว่า" โดยยังไม่พิสูจน์จนติดคุก ศาลไม่ใช่เปาบุ้นจิ้น เพราะไม่มีอำนาจสืบสวนสอบสวนเองลงโทษเอง ต้องนั่งตรงกลางฟังโจทก์จำเลย แต่องค์กรอิสระ มีอำนาจสอบสวนเองตัดสินเอง
ที่จริงมีอำนาจ 3 ฝ่ายครบในตัว เพราะออกกฎระเบียบเองได้ เพิ่มเลขาเพิ่มผู้เชี่ยวชาญ แล้วตั้งลูกตัวเองเป็นก็ได้
ศาลต้องใช้อำนาจตามตัวบทกฎหมายอย่างเคร่งครัดและจำกัด เพราะเป็นอำนาจที่ชี้ขาด เป็นที่สุด แต่มีชัยเขียนให้อำนาจศาล รธน.อย่างกว้าง ตั้งแต่ ม.207 สามารถตีความเกินกฎหมาย โธ่ถัง ศาลอะไรจะมาชี้ทางออกวิกฤติ แล้วทำให้ประชาชนยอมรับได้ ศาลเป็นแค่นักกฎหมาย (บิดเบี้ยวด้วย) ไม่ใช่ "ผู้มีบุญญาบารมีที่คนเคารพศรัทธา"
ศาล รธน.มีอำนาจปลด ครม.ได้ ตามมาตรา 139 การแปรญัตติงบประมาณ อ่านยังไงก็ไม่เข้าใจ ว่า ครม.จะไปทำผิดได้ไง (ครม.เสนองบ สภาแปรญัตติ) ข้อนี้ยังสงสัย มีชัยจะหมกไว้เขียนในกฎหมายประกอบ รธน.
ศาล รธน. มีอำนาจปลดนายกฯ หรือ รมต.ได้ ถ้าขัดคุณสมบัติ "มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์" "ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่าง ร้ายแรง" โดยให้ ส.ส. ส.ว.เข้าชื่อ ให้ ปปช.ยื่น ให้ กกต.ยื่น
อะไรคือความผิด "ขัดจริยธรรม" "ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต" ซึ่งไม่ใช่การทำผิดกฎหมาย เพราะถ้าทุจริตผิดกฎหมาย ก็โดน ปปช.ส่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ไปแล้วสิ มันคือพฤติกรรมที่ถูกมองว่าไม่เหมาะสม ถูกกล่าวหา ถูกตั้งข้อสงสัย แต่เอาผิดไม่ได้ ก็เลยจะมาให้ศาล รธน.ตีขลุม ทั้งที่มันเป็นเรื่องทางสังคมการเมือง เหมือนปากประยุทธ์ เหมาะสมเป็นผู้นำหรือไม่ สังคมก็วิจารณ์กันไป มีทั้งคนชอบไม่ชอบ แต่ยังไงก็เอาคน 9 คนมาชี้ถูกชี้ผิดไม่ได้ (แต่ถ้าเป็นนายกฯ จากเลือกตั้ง ประชาชนไม่เลือกแน่ 55)
000000
ร่างรัฐธรรมนูญมีชัยทิ้ง "จุดขาย" ที่รัฐธรรมนูญ 2550 เคยใช้ 3 จุดด้วยกันคือ "รับรัฐธรรมนูญเลือกตั้งเร็ว" เพราะยืดโรดแม็ป 6-4 เป็น 8-2-5 "รับไปก่อนแก้ทีหลัง แก้ง่ายนิดเดียว" เพราะรับแล้วแก้ไม่ได้เลย "สิทธิชุมชนอันงดงาม" ซึ่งทำให้ NGO กรี๊ดสนั่นเมือง (ทั้งที่เคยเชียร์ร่าง คปป.)
ก็สงสัย แล้วจะเอาอะไรขาย ที่ไหนได้ปู่ชู "ปราบโกง" เห็นผล เปล่า! ไม่ใช่ที่เนื้อหา แต่มีคนปลุกกระแสว่าเมื่อนักการเมืองชั่วหวาดกลัว ก็แปลว่าร่างรัฐธรรมนูญนี้เป็นยันต์ปราบผี ไม่ต้องไปอ่านให้เสียเวลา ลงประชามติรับเลย
กลายเป็น "รัฐธรรมนูญแห่งความเกลียดชัง" เกลียดแล้วไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง เหมือนเกลียดทักษิณเลือกสุขุมพันธุ์
ถามจริง ปราบโกงตรงไหน "ทุจริตตัดสิทธิตลอดชีวิต" ข้อห้ามผู้ถูกศาลตัดสินทุจริตก็มีทุกฉบับ นี่กลับไปเพิ่มคดีอื่น มาตรา 93(7) (10) ต้องพ้นโทษจำคุกเกิน 10 ปีจากเดิม 5 ปี และห้ามเพิ่มหลายความผิดรวมทั้งการพนัน แต่ไม่ยักห้ามฆ่าคนตาย ข่มขืนฆ่า ฯลฯ พ้นโทษมา 10 ปีสมัครส.ส.ได้
ไร้สาระมีแต่พวกดูถูกประชาชนที่คิดว่าชาวบ้านจะเลือกคนเคยติดคุกติดตะราง แต่ถ้าเขาเลือก ก็แปลว่าคนๆ นั้นกลับเนื้อกลับตัวหรือเป็นปากเสียงให้เขาได้
อ้าวดูอย่างชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ คนรู้ไหมว่าทำผิด ทำไมคะแนนเป็นล้าน
"ปราบโกง" เอาเข้าจริงคือเพิ่มอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ ให้เล่นงานนักการเมืองได้ง่าย โดยไม่เป็นไปตามกระบวน การยุติธรรม
อำนาจตุลาการศักดิ์สิทธิ์ที่กระบวนการพิสูจน์พยานหลักฐาน โต้แย้งเหตุผลทางกฎหมาย ไม่ใช่ศักดิ์สิทธิ์ที่ตัวคนเป็นๆ ซึ่งมีสิทธิ "ป่วย" เหมือนชาวบ้าน อำนาจตุลาการจึงต้องพิสูจน์ให้สิ้นสงสัย เช่นจะลงโทษคนทุจริตเลือกตั้ง ก็ต้องพิสูจน์จนถึงตัดสินจำคุก ไม่ใช่ให้กกต.หรือศาลฎีกา "เชื่อได้ว่าทุจริต" แล้วตัดสิทธิโดยประชาชนไม่สิ้นสงสัย
อำนาจตุลาการมีอำนาจชี้ขาดจึงต้องใช้อย่างจำกัด เป็นกลาง ศาลยุติธรรมจึงไม่ใช่ "เปาบุ้นจิ้น" เพราะไม่ได้ไต่สวนเอง ตัดสินเอง แต่นั่งบัลลังก์ชั่งน้ำหนักทั้งสองฝ่าย
องค์กรอิสระกลับมีอำนาจ มากกว่าศาล สอบสวนเอง ตัดสินเอง มีทั้งอำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ กระทั่งอำนาจนิติบัญญัติ ออกระเบียบเพิ่มเลขาฯผู้เชี่ยวชาญ แล้วตั้งลูกตัวเองได้
กกต.มีทั้งอำนาจจัดเลือกตั้ง สอบสวน ตัดสิทธิ ยังเพิ่มอำนาจตรวจสอบนโยบายการเงินการคลังร่วมกับป.ป.ช. สตง. ตามมาตรา 241
สตง.นอกจากมีอำนาจตรวจนโยบาย มาตรา 236(5) ยังให้อำนาจลงโทษทางปกครองผู้ทำผิดกฎหมายวินัยการเงินการคลัง ใครโดนลงโทษต้องไปอุทธรณ์ศาลปกครองสูงสุด เท่ากับสตง.เป็นศาลชั้นต้น
ศาลรัฐธรรมนูญของมีชัยต่างจากปี"50 เพราะเขียนแยกจากหมวดศาล ให้อำนาจไม่จำกัด "พ่อทุกองค์กร" มีอำนาจชี้เป็น ชี้ตายรัฐบาล มีอำนาจเหนือทุกศาล ยึดอำนาจวินิจฉัยวิกฤต ม.7 มาไว้ใน ม.207 โดยสามารถตีความเกินกฎหมาย ทั้งที่ศาลไม่ใช่ผู้มีบุญบารมี ที่ประชาชนเคารพศรัทธา จนชี้ทางออกได้ยามวิกฤต
กรธ.บอกไม่ได้เพิ่มอำนาจ เพราะศาลมีอำนาจตีความรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ใช่ครับ แต่ท่านเขียนรัฐธรรมนูญให้ศาลตีความได้กว้าง
ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจปลดคณะรัฐมนตรี ถ้าทำผิดมาตรา 139 มีส่วนได้เสียกับการเสนอหรือแปรญัตติงบประมาณ มันคืออะไร กรธ.เขียนไว้คลุมเครือ ถ้าส.ส.แปรญัตติเข้าพื้นที่ยังพอเข้าใจ แต่ครม.เสนองบทั้งประเทศทุกพื้นที่ ศาลจะวินิจฉัยอย่างไร
การเขียน กฎหมายให้อำนาจศาลต้องเคร่งครัดชัดเจน ไม่เปิดช่องกว้างให้ใช้ความเห็นเป็นใหญ่ เช่น มาตรา 155 (4) (5) บัญญัติคุณสมบัติรัฐมนตรี "มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์" "ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่าง ร้ายแรง" ฟังดูก็สวยใส แต่มาตรา 165, 231 ให้ส.ส. ส.ว.เข้าชื่อ หรือป.ป.ช.ไต่สวนว่าฝ่าฝืนจริยธรรมแล้วส่งศาลรัฐธรรมนูญตัดสินปลดนายกฯ หรือรัฐมนตรีได้
อะไรคือ "ฝ่าฝืนจริยธรรม" หรือ "ไม่ซื่อสัตย์สุจริต" ชัดเจนว่าไม่ใช่การทุจริตทำผิดกฎหมาย เพราะถ้าทุจริตก็ต้องส่งศาลฎีกาฯ
นี่แปลว่าจะเอาผิดพฤติกรรมที่มีคนเห็นว่า "ไม่เหมาะสม" แต่ไม่ผิดกฎหมาย โดยบทเฉพาะกาลให้ศาลไปออกมาตรฐานจริยธรรม แล้วเอามาใช้ปลดนักการเมือง
จริยธรรมความเหมาะสม ไม่เหมาะสม ถ้ากฎหมายไม่บัญญัติว่าผิด ก็เป็นความเห็นทางสังคม ซึ่งแตกต่างหลากหลาย ยกตัวอย่างนายกฯใช้วาจากับสื่อ บางคนบอกไม่เหมาะเป็นผู้นำ บางคนชอบสะใจจัง แล้วจะเอาความเห็นคน 9 คนมาตัดสินได้ไง เขียนรัฐธรรมนูญแบบนี้เท่ากับเปิดช่องให้ตุลาการกำจัดคนข้างเดิม แล้วประเทศจะไม่ยิ่งแตกแยกได้อย่างไร
source :- FB Atukkit Sawangsuk & http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1454591688
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น