(ภาพ น.ส. พิณนภา หรือมึนอ พฤกษาพรรณ ภรรยาของนายบิลลีและทีมทนายความที่ศาลจังหวัดเพชรบุรีเช้าวันนี้)
ศาลฎีกายกคำร้องคดีขอให้ปล่อยตัวบิลลี่ ญาติยังตั้งความหวังดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ
ศาลจังหวัดเพชรบุรี อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีการขอให้ปล่อยตัวนายพอละจี รักจงเจริญ หรือนายบิลลี่ ชาวกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย ที่ถูกควบคุมตัวโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยมีคำสั่งยกคำร้อง ชี้คดีไม่มีมูล ระบุการไต่สวนผู้ถูกกล่าวหาในศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ก่อนหน้านี้ศาลจังหวัดเพชรบุรี และศาลอุทธรณ์ภาค 7 ได้ยกคำร้องของ น.ส. พิณนภา หรือ มึนอ พฤกษาพรรณที่ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ปล่อยตัวนายบิลลี่ จากการควบคุมตัวโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 90 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 32 โดยศาลอุทธรณ์เห็นว่าจากการไต่สวนพยานทั้งปากนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร และเจ้าหน้าที่อุทยาน 4 คน รวมถึงนักศึกษาฝึกงาน 2 คน ให้การสอดคล้องกันว่าได้มีการปล่อยตัวนายบิลลี่ไปแล้ว แม้คำเบิกความจะมีข้อแตกต่างกันบ้างก็เป็นเพียงรายละเอียดไม่ใช่ข้อสาระสำคัญอันเป็นพิรุธ ศาลระบุว่า พยานหลักฐานที่ผู้ร้องนำสืบยังรับฟังไม่ได้ว่ามีการคุมขังนายบิลลี่ไว้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงมีคำสั่งยกคำร้องของนางสาวพิณนภาซึ่งได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาในเวลาต่อมา
วันนี้ศาลฎีกาชี้ว่า หลังจากผู้ร้องยื่นคำร้องแล้ว ศาลจะต้องไต่สวนและพิจารณาก่อนว่าคำร้องของภรรยานายบิลลี่มีมูลหรือไม่ จึงจะเรียกตัวผู้ควบคุมตัว คือเจ้าหน้าที่อุทยานมาทำการไต่สวน แต่คดีนี้ในศาลชั้นต้นหลังจากรับคำร้อง และไต่สวนตัวผู้ร้อง ศาลยังไม่สั่งว่าคำร้องของผู้ร้องมีมูลหรือไม่ แต่มีคำสั่งเรียกตัวเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานมาไต่สวนแล้ว การไต่สวนที่เกิดขึ้นภายหลังนั้นจึงเป็นกระบวนการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลไม่สามารถนำมาพิจารณารับฟังได้ ศาลจึงต้องพิจารณาเฉพาะคำให้การของผู้ร้องคือ น.ส. พิณนภาและผู้ใหญ่บ้านและตัวนายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งศาลมองว่าพยานในส่วนของผู้ร้องและผู้ใหญ่บ้านเป็นพยานบอกเล่าไม่อยู่ในเหตุการณ์ และไม่มีใครเห็นว่าบิลลีถูกควบคุมตัวจริง ส่วนน.พ. นิรันดร์เป็นเพียงพยานแวดล้อม คดีจึงไม่มีมูล ศาลจึงได้มีคำสั่งยกคำร้อง
อย่างไรก็ตามการยกคำร้องนี้จะไม่มีผลต่อกรณีการสืบสวนสอบสวนการหายตัวไปของนายบิลลี ที่น.ส. พิณนภาได้ไปยื่นคำร้องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้รับคดีไว้ดำเนินการสืบสวนสอบสวน
น.ส. วราภรณ์ อุทัยรังสี ทนายความของน.ส.พิณนภาอธิบายว่าสาเหตุที่ไปร้องให้ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษเพราะกรณีนี้เป็นเรื่องของความมีอิทธิพลของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ พยานมีความหวาดกลัว ไม่สามารถให้ข้อมูลที่แท้จริงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ ซึ่งเป็นคดีที่ดีเอสไอมีอำนาจที่จะทำได้ แต่ถ้าดีเอสไอจะรับ ก็ต้องมีการสืบสวนสอบสวนที่ชัดเจนว่าคดีนี้ไม่ใช่แค่การหายตัวแต่เป็นคดีฆาตกรรม
สำหรับคำตัดสินของศาลฎีกาในวันนี้ น.ส.พิณนภา หรือมึนอ กล่าวกับบีบีซีไทยสั้นๆ ว่ารู้สึกเสียใจ แต่ก็จะรอกระบวนการสืบสวนสอบสวนต่อไป และรอว่าดีเอสไอจะรับคดีดังกล่าวไว้เป็นคดีพิเศษหรือไม่