สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนใน 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัด ชี้เศรษฐกิจในประเทศเป็นปัจจัยเชิงลบที่ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงจนอยู่ในเกณฑ์ซบเซา นักวิเคราะห์คาดค่าเงินบาทจะผันผวนรุนแรง
เว็บไซต์ของสภาธุรกิจตลาดทุนไทยให้ข้อมูลว่าดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนได้มาจากการสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่มีต่อระดับดัชนีฯ ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ซึ่งนางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ระบุว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่าดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ตุลาคม) จะอยู่ที่ 57.27 หรือปรับตัวลดลง 41.73% จากดัชนีในเดือนที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 98.28 โดยนักลงทุนทุกกลุ่มมองไปในทิศทางเดียวกันว่าตลาดจะปรับตัวลงไปอยู่ในเกณฑ์ซบเซา โดยเฉพาะดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ปรับตัวลดลงมากที่สุดถึง 71.43% หรือต่ำสุดในรอบ 14 เดือน อยู่ที่ 28.57 จนแตะระดับซบเซาอย่างมาก ในขณะที่นักลงทุนสถาบันต่างประเทศ มีความเชื่อมั่นปรับลดลงน้อยที่สุด อยู่ที่ 62.5 หรือ 12.5%
ทั้งนี้ ปัจจัยเชิงบวกที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นมากที่สุด คือ นโยบายด้านเศรษฐกิจ แต่ในเวลาเดียวกันยังมีปัจจัยเชิงลบอย่างภาวะเศรษฐกิจในประเทศอีกหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการส่งออกที่ลดลง หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น การไหลเข้าออกของเงินทุน การเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐและการลงทุนโครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่ต้องพิจารณาเลื่อนออกไปในช่วงครึ่งปีหลัง รวมถึงแนวโน้มการปรับคณะรัฐมนตรีและปัญหาภัยแล้ง นอกจากนี้เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว การปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ หนี้เสียในกลุ่มประเทศยูโรโซน และปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ ก็ส่งผลต่อทิศทางตลาดหุ้นไทยด้วย
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างช้าๆ และเติบโตต่ำกว่าที่เคยคาด ดร. อมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการสำนักวิจัย สายบริหารความเสี่ยง ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย คาดว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของปีนี้มีโอกาสที่จะโตต่ำกว่าร้อยละ 3 ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนจะผันผวนรุนแรงขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยค่าเงินบาทอาจลดลงแตะระดับ 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ในช่วงปลายปี แต่หากธนาคารกลางสหรัฐฯ ชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็จะส่งผลให้ค่าเงินบาทอาจกลับมาแข็งค่าได้ในระยะสั้น