ปูติน กับความพยายามบรรลุเป้าหมายการทำสงครามในซีเรีย

บีบีซีไทย - BBC Thai

ปูติน กับความพยายามบรรลุเป้าหมายการทำสงครามในซีเรีย

ชาติตะวันตก และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ยังคงมีมุมมองที่แตกต่างกันในเรื่องการทำสงครามในซีเรีย ทว่า โจนาธาน มาร์คัส ผู้สื่อข่าวสายการทูตของบีบีซี บอกว่า ผู้นำรัสเซียกำหนดเป้าหมายของตัวเองชัดเจน และทำทุกทางเพื่อให้บรรลุผล

ผู้สื่อข่าวบีบีซี บอกว่า ปัญหาในซีเรียมีความซับซ้อนอย่างยิ่ง และไม่อาจจะกล่าวโทษกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งว่าเป็นผู้ก่อให้เกิดความไม่สงบที่ยืดเยื้อนี้ได้ ที่ผ่านมาบรรดาชาติตะวันตกมองว่าปัญหานี้ไม่อาจแก้ไขได้ด้วยวิธีทางการทหาร ทว่ารัฐบาลรัสเซียกลับเห็นต่าง ทั้งยังเลือกข้างด้วยการสนับสนุนฝ่ายรัฐบาลประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ซึ่งรัสเซียประเมินแล้วว่าจะเกิดผลร้ายมากกว่าหากรัฐบาลซีเรียเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงคราม

นอกจากนี้ รัสเซียยังมองว่า ฝ่ายรัฐบาลซีเรียมีพันธมิตรที่มีศักยภาพอย่างกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ และกลุ่มนักรบที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน ด้วยเหตุนี้ รัสเซียจึงระดมทรัพยากรด้านการทหารเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตน นั่นคือการสนับสนุนให้รัฐบาลซีเรียควบคุมพื้นที่สำคัญ ๆ ในประเทศให้ได้ ซึ่งแม้จะใช้เวลาระยะหนึ่งแต่ชัยชนะที่ได้ก็ปรากฏให้เห็นชัดเจน

ที่ผ่านมารัสเซียได้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อนักรบฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรียที่ได้รับการหนุนหลังจากตุรกี ชาติอาหรับในภูมิภาค รวมทั้งชาติตะวันตก และกำลังได้รับชัยชนะ สวนทางกับแนวทางการแก้ปัญหาในซีเรียของชาติตะวันตกที่เต็มไปด้วยปัญหาและความขัดแย้งในตัวเอง อาทิ เรื่องการสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธสายกลางที่ต่อต้านรัฐบาลซีเรียซึ่งบ่อยครั้งมักมีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายก่อการร้ายอัลไคด้า ส่งผลให้รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องอยู่ฝ่ายเดียวกับอัลไคด้าไปโดยปริยาย

นอกจากนี้ แม้ว่าชาติตะวันตกจะมีเป้าหมายหลักในการกำจัดกลุ่มที่เรียกตัวเองว่ารัฐอิสลาม (ไอเอส) แต่ชาติพันธมิตรในตะวันออกกลางอย่าง ซาอุดีอาระเบีย และตุรกี กลับมีเป้าหมายหลักที่แตกต่างออกไป นั่นคือการรักษาผลประโยชน์เชิงกลยุทธ์ของตนในซีเรียอย่างการโค่นล้มประธานาธิบดีอัสซาด ส่วนการกำจัดไอเอสถือเป็นเป้าหมายรอง

ขณะเดียวกัน ชาติตะวันตกมีกลุ่มนักรบชาวเคิร์ดเป็นพันธมิตรภาคพื้นดินที่มีศักยภาพที่สุด แต่ตุรกีกลับมองว่านักรบกลุ่มนี้เป็นภัยคุกคามประเทศของตน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ประธานาธิบดีปูตินได้เปรียบกว่าในการเดินเกมครั้งนี้ ทั้งยังไม่ต้องกังวลกับกระแสกดดันจากประชาชนเหมือนที่ชาติตะวันตกเผชิญในเรื่องวิกฤติผู้อพยพซีเรียที่หลั่งไหลเข้ายุโรป #SyriaConflict