มีคนคาดว่ากลุ่มที่มีอำนาจ ต้องการปฎิรูปการเมือง ดึงสังคมย้อนกลับไปในอดีต วางแผนที่จะครองอำนาจตลอดไปยาวนาน และอาจใช้แนวคิดเกาหลีเหนือ ดึงสังคมกลับไปแบบนั้น
ผมคิดว่า เราอย่าไปสนในสิ่งที่พวกเขาต้องการมากนักครับ เพราะพวกเขาก็ต้องการไปทางนั้นอยู่แล้วต้องการครองอำนาจให้ได้นานที่สุด ไม่ให้สังคมเปลี่ยนแปลง เพื่อจะได้ไม่ต้องมีคนมาท้าทายอำนาจ คนมีอำนาจทุกคนก็คิดอย่างนี้แหละครับ และอาจคิดไปถึงด้วยว่าหากมีลูกมีหลานก็อยากให้ลูกหลานได้สืบทอดอำนาจต่อไปไม่หมดสิ้น คนที่ทำรัฐประหารต่างๆ หรือเผด็จการทั่วโลกก็คิดอย่างนี้หมดแหละครับ
ผมคิดว่า เราอย่าไปสนในสิ่งที่พวกเขาต้องการมากนักครับ เพราะพวกเขาก็ต้องการไปทางนั้นอยู่แล้วต้องการครองอำนาจให้ได้นานที่สุด ไม่ให้สังคมเปลี่ยนแปลง เพื่อจะได้ไม่ต้องมีคนมาท้าทายอำนาจ คนมีอำนาจทุกคนก็คิดอย่างนี้แหละครับ และอาจคิดไปถึงด้วยว่าหากมีลูกมีหลานก็อยากให้ลูกหลานได้สืบทอดอำนาจต่อไปไม่หมดสิ้น คนที่ทำรัฐประหารต่างๆ หรือเผด็จการทั่วโลกก็คิดอย่างนี้หมดแหละครับ
แต่เราจะไปสนใจสิ่งที่พวกเขาคิดทำไม เพราะการจะทำให้ได้อย่างที่พวกเขาคิดมันไม่ได้ง่ายหรอก และไม่เคยมีเผด็จการคนไหนหรือกลุ่มใด จะสามารถทำได้ตลอดไปด้วย ดังนั้นประเด็นนี้ผมจึงไม่ค่อยคิดว่ามีความหมายอะไรนัก เพราะรู้ๆ กันอยู่
สังคมพัฒนาการไปข้างหน้าไม่ย้อนหลัง เกาหลีเหนือนั้น ในปี 2488 กว่าๆ คือปีที่ตระกูลคิม เขายึดเกาหลีเหนือได้จากญี่ปุ่น คนเกาหลีเหนืออยู่ใต้ปกครองของจีนมานาน และอยู่ใต้ปกครองญี่ปุ่นต่อมา ดังนั้นคนเกาหลีเหนือไม่เคยเจริญก้าวหน้าเข้าสู่โลกสมัยใหม่ พวกเขาอยู่อย่างนั้นมาแต่โบราณแล้ว ตระกูลคิม ก็ปกครองแบบกดขี่แบบนั้นต่อ ดังนั้นคนเกาหลีเหนือไม่เคยเจอสิ่งที่ดีกว่านั้น พวกเขาก็เลยคิดว่าเป็นปกติของชีวิตแบบนั้นมาแต่โบราณ ตระกูลคิม จำกัดการสื่อสารกับโลกภายนอกด้วย จึงปิดหูปิดตาได้ตลอด ตระกูลคิมปกครอง ก็ยังดีกว่าเป็นเมืองขึ้นจีน หรือญี่ปุ่น คนเกาหลีเหนือคงคิดแบบนั้นหรือถูกสอนมาแบบนั้น
ประเทศไทย สังคมเข้าสู่อุตสาหกรรม ยุคข้อมูลข่าวสาร เศรษฐกิจเชื่อมกับโลกภายนอกกว่า 70% ดังนั้นการจะดึงสังคมกลับไปแบบเกาหลีเหนือนั้น คงไม่ง่ายที่จะมีใครทำได้ สภาพแวดล้อมมันต่างกันเยอะ
แค่ยึดอำนาจมาหนึ่งปี ทำให้ภาคเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะหดตัว กระทบรายได้คนจำนวนมาก ก็เกิดแรงเสียดทานจนมีท่าว่าจะไปได้ลำบากแล้ว
อีกอย่างผมคิดว่า ปัจจัยต่างประเทศนั้นยากที่จะเจรจาได้
ในยุคสงครามเย็น โลกแบ่งออกเป็นสองขั้ว คือ สหภาพโซเวียต (ไม่ใช่รัสเซียนะครับ รัสเซียแค่ส่วนหนึ่ง) กับสหรัฐอเมริกา ต่อสู้กันในระดับโลก "ยุทธศาสตร์หลักของสองขั้ว" คือการแสวงหาพันธมิตรให้ได้มากที่สุด เพื่อปิดล้อมอีกฝ่าย ดังนั้นสหรัฐอเมริกา ที่เป็นประเทศประชาธิปไตยเสรีนิยม เพื่อชัยชนะ เขาเลยใช้ยุทธศาสตร์แสวงหาพันธมิตร โดยไม่สนใจว่ารัฐบาลนั้นจะมีที่มาอย่างไร เป็นเผด็จการก็ไม่สนใจ เพราะเขาคำนึงถึงเป้าหมายทางยุทธศาสตร์คือ ปิดล้อมโซเวียตก่อน อเมริกาจึงสนับสนุนรัฐบาลทหารแบบจอมพลสฤษดิ์ก็ได้
แต่พ้นยุคสงครามเย็น อเมริกาเป็นประเทศ "อภิมหาอำนาจ" ประเทศเดียว สหภาพโซเวียตล่มสลาย แตกกระจัดกระจาย ยุทธศาสตร์ แสวงหาพันธมิตร โดยไม่สนใจว่ารัฐบาลนั้นจะเป็นเผด็จการหรือไม่ จึงหมดความจำเป็น อเมริกาก็ย้อนกลับไปยังรากฐานอุดมการณ์เดิมคือ ประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม ซึ่งทำให้อเมริกาสามารถแสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้มากกว่ารัฐบาลเผด็จการ
ดังนั้นการที่คิดว่าตะวันตก และสหรัฐอเมริกา จะยอมสนับสนุนรัฐบาลทหารในตอนนี้นั้น ผมว่าลืมไปได้เลย ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจนั้น หากประเทศนั้นเป็นประชาธิปไตย เศรษฐกิจเติบโตย่อมมีผลประโยชน์มากกว่า รัฐเผด็จการหยิบยื่นให้
อีกอย่างไม่มีผลประโยชน์ทางด้านยุทธศาสตร์ในทางทหารที่จำเป็นอีกต่อไป ยุทธศาสตร์ทางทหารก็ต้องสนับสนุนยุทธศาสตร์ทางการค้าและการลงทุน
อเมริกาจึงเล่นงานรัฐเผด็จการแน่นอนในยุคนี้