น่าเป็นห่วงแค่ไหนที่ตลาดหุ้นจีนร่วง?
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจีนดิ่งลงไปเกือบ 9% ขณะที่ตลาดหุ้นที่อื่นในเอเชีย มีการเทขายเป็นจำนวนมาก ส่วนตลาดหุ้นในประเทศอื่นทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบและปรับตัวลดลงเช่นกัน นับเป็นสัปดาห์ที่ย่ำแย่สำหรับนักลงทุน สถานการณ์ในวันนี้ (24 ส.ค.) ก็ดูไม่สดใส ตลาดหุ้นจีนร่วงไป 8.5% ตอนปิดตลาด
ดังเคิน เวลดอน ผู้สื่อข่าวรายการนิวส์ไนท์ ของบีบีซี ชี้ว่าตลาดหุ้นจีนที่ตกลงมาอย่างฮวบฮาบนั้นเป็นเพราะว่ารัฐบาลจีนไม่ได้ออกนโยบายใด ๆ เข้ามาแทรกแซงในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งอาจมองได้สองอย่าง อย่างแรกเป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งว่ารัฐบาลหมดหนทาง ซึ่งจะบั่นทอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาลอย่างยิ่ง หรืออาจมองได้ว่าเป็นเรื่องดี เพราะรัฐบาลเอาจริงเอาจังกับการปฏิรูปตลาดจึงหยุดการแทรกแซง เนื่องจากที่ผ่านมา หากหุ้นตกลงรุนแรง รัฐบาลมักจะสั่งห้ามนักลงทุนสถาบันเทขายหุ้น หรือไม่ก็ใช้วิธีลดอัตราดอกเบี้ย แต่ไม่ว่าจะมองแบบไหน ก็ไม่ใช่ข่าวดีทั้งนั้นสำหรับนักลงทุนที่มีหุ้นจีนอยู่ในมือ ซึ่งต้องพึ่งการตัดสินใจของนักการเมืองจีนเวลาต้องการใช้สิทธิในการขายหุ้น
ผู้สื่อข่าวบอกว่าไม่ควรตื่นตระหนกจนเกินไปถึงผลกระทบด้านเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา หากตลาดหุ้นจีนดิ่งเหวแบบฉุดไม่อยู่ เพราะตลาดเงินในจีนนั้นยังไม่ได้เปิดกว้างมากนัก จึงน่าจะช่วยลดผลกระทบระหว่างประเทศได้ระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่ควรพึงระวังมากกว่าคือการชะลอตัวด้านเศรษฐกิจในขั้นรุนแรงและผลกระทบจากการชะลอตัวนี้ต่อตลาดนอกประเทศ นักวิเคราะห์หลายคนอาจมองหาปัจจัยที่จะทำให้เกิดสถานการณ์แบบวิกฤตการเงินโลก 2551 แต่ผู้สื่อข่าวเห็นว่า สถานการณ์ในตอนนี้ไม่เหมือนกับตอนที่เกิดวิกฤตปี 2551 โดยเขาเห็นว่าตอนนี้เป็นช่วงการปรับตัวด้านโครงสร้างของเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ ดังนั้นในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้านี้ การเติบโตและกำไรจากการลงทุนในตลาดเกิดใหม่จะลดน้อยลง
ประเด็นที่สำคัญคือในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจของประเทศตลาดเกิดใหม่มีสัดส่วนราวครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจโลกและกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจโลกถึง 80% รายได้ของบริษัทตะวันตกรายใหญ่ ๆ มาจากยอดขายสินค้าที่เพิ่มมากขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา ดังนั้นการชะลอตัวจะกระทบต่อกำไรของบริษัทเหล่านั้น รวมทั้งบริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้นชาติตะวันตกด้วย และราคาหุ้นที่ร่วงลงจะทำให้บริษัทดังกล่าวขยับขยายหาเงินสำหรับการลงทุนได้ยากขึ้น นอกจากนั้นการส่งออกที่ลดลงจะชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจของชาติตะวันตกด้วย
แต่ผลกระทบดังกล่าวนี้อาจไม่รุนแรง เพราะสินค้าโภคภัณฑ์มีราคาถูกลง ทั้งนี้ส่วนหนึ่งมาจากการชะลอตัวของตลาดเกิดใหม่ที่ฉุดให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ลดลง เช่น ราคาน้ำมัน ทองแดงและสินค้าอื่น ๆ และราคาน้ำมันที่ถูกลงนี้จะเอื้อให้คนมีเงินมากขึ้นและช่วยคงอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับที่ต่ำยาวนานขึ้น
ประเด็นที่น่าเป็นห่วงอีกเรื่องคือ การชะลอตัวทางเศรษฐกิจและสกุลเงินในเอเชียที่อ่อนค่าลง อาจจะทำให้เศรษฐกิจของชาติตะวันตกหดตัว นี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่น่าจับตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการการชะลอตัวด้านเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่ หากกินเวลาเนิ่นนาน ก็จะส่งผลกระทบที่หนักหน่วงต่อเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวยังเห็นว่า สถานการณ์ในตอนนี้ไม่เหมือนกับสถานการณ์ช่วงวิกฤตการเงินโลก 2551 แต่เป็นกระบวนการปรับโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจโลก


 
Top