หุ้นตกตั้ง 50 กว่าจุดยังหาว่าสมคิด "งานง่าย" อีกเรอะ อ้าว ก็ไม่เห็นเป็นไร ดูนี่สิ
“อภิศักดิ์” ชี้หุ้นไทยร่วงแรงเกิดจากปัจจัยหลักนอก ปท. คล้ายแบล็กมันเดย์ ไม่เกี่ยวข้องต่อภาพลักษณ์ทีม ศก.ชุดนี้http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx…
บอกแล้วไงนี่เข้าสู่ระยะ "ถอย" สมคิดก็แค่มาปะทะปะทังในช่วงที่จะผ่านร่าง รธน.จะทำประชามติ จะเข้าสู่เลือกตั้ง (เพื่อวางระบอบปูลิตบูโร) ปัจจัยสำคัญอยู่ที่เศรษฐกิจโลกด้านหนึ่ง การเมืองด้านหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องฝีมงฝีมือไรหรอก สมคิดอาจจะเหมาะกว่าอุ๋ยตรงที่รู้จักพูดเข้าหูคน และมีสัมพันธ์อันดีกับสื่อกับภาคธุรกิจ
ถ้า รธน.ผ่าน การเมืองนับถอยหลังสู่เลือกตั้ง แรงกดดันลดลง สมคิดก็งานง่าย ถ้า รธน.ไม่ผ่านประชามติ ต่อให้ 100 สมคิดก็เอาไม่อยู่ เท่านั้นเอง ไม่ได้อาศัยความเก่งอะไรหรอกครับ ความคาดหวังก็น้อยกว่าตอนอุ๋ยเข้ามา เพราะตอนนั้นคาดหวังกันใหญ่โตว่าจะปฏิรูปนั่นนี่ แต่กับสมคิด คนคาดหวังแต่พอเอาตัวรอดก็พอ
แต่เศรษฐกิจโลกแบบนี้ จะรอดหรือเปล่าไม่รู้ 555

000000

ครม.ประยุทธ์ 2 (ที่ถูกควรเรียกว่า 2 เพราะปรับใหญ่ครั้งแรก) กระตุ้นความเชื่อมั่นด้วยชื่อ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ทั้งที่มีหลายเรื่องถูกมองข้ามเช่น “ทีมสมคิด” เอาเข้าจริงมีแค่ 4 คน คือสมคิด, อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์, อุตตม สาวนายน และสุวิทย์ เมษินทรีย์ นอกนั้นเป็นการเพิ่มบทบาทข้าราชการ
ขณะที่ “ทีมประยุทธ์” เพิ่มรัฐมนตรีทหารจาก 12 เป็น 14 คน ทหารถอยจากต่างประเทศ,คมนาคม, พาณิชย์ แต่เข้าไปคุมเกษตรและพลังงาน ซ้ำยังโยกเก้าอี้กันอลวน เช่นโยก รมว.ศธ.ไปรองนายกฯ ย้าย รมว.ทส.มา ศธ. ย้าย รมว.แรงงานไป ทส. แล้วตั้ง รมว.ทส.ใหม่ ทำยังกับย้ายแม่ทัพภาค 3 ไปภาค 2 ภาค 2 ไปภาค 1 ทั้งที่งานแต่ละกระทรวงแตกต่างมากไม่เหมือนแม่ทัพภาคนั่งที่ไหนก็ได้ นี่คนใหม่มาก็ต้องศึกษางานใหม่ ยกตัวอย่างง่ายๆ พล.ร.อ.ณรงค์พิพัฒนาศัย กับ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ ไม่น่ามีใครรู้เรื่องกระทรวงศึกษามากกว่ากัน แต่อย่างน้อย พล.ร.อ.ณรงค์ก็นั่งมา 1 ปี (แถมยังปลด อ.กฤษณพงศ์ กีรติกร ที่คนในแวดวงอุดมศึกษาเชื่อถือ)
ถามว่าสมคิดกับ 3 เกลอจะทำอะไรได้แค่ไหน แน่ละสมคิดเป็นนักการตลาด มีความสัมพันธ์อันดีกับภาคธุรกิจและสื่อ บุคลิก “นิ่ม” กว่าหม่อมอุ๋ย แต่ในภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ สมคิดจะทำอะไรได้มากไปกว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เพื่อปะทะปะทังรอเวลา
รออะไร ก็รอร่างรัฐธรรมนูญผ่าน สปช.ผ่านประชามติ กลับสู่การเลือกตั้งสิครับ ถ้าเป็นไปตาม step ความกังวลทางการเมืองที่กดดันเศรษฐกิจจนไม่มีใครกล้าลงทุนไม่กล้าใช้จ่าย ก็จะค่อยๆ ผ่อนคลาย
นั่นแหละคือคำตอบ มองมุมกลับ “ทีมสมคิด” ไม่ต้องทำอะไรมากหรอก เพราะเข้ามารับหน้าในโรดแม็พระยะ 2 ช่วง “ถอย” สู่การเลือกตั้ง (เพื่อเข้าสู่ระยะที่ 3 มีรัฐบาลปรองดองภายใต้โปลิตบูโร) นี่เป็นงานง่ายกว่าทีมหม่อมอุ๋ยเยอะ หรือถ้าจะยาก ก็ขึ้นกับการเมืองเป็นหลัก สมมติเช่นร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน คสช.ต้องอยู่นาน
ต่างกันนะครับกับทีมหม่อมอุ๋ยที่เข้ามาในช่วง “รุก” มีความคาดหวังสูงจะปฏิรูปเรื่องต่างๆ คิดเรื่องระยะยาว ระยะกลาง สำเร็จบ้างล้มเหลวบ้าง ถูกด่าก็เยอะ ไม่ยอมใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “ประชานิยม” ขณะที่เศรษฐกิจโลกย่ำแย่ รัฐประหารเป็นอุปสรรคต่อการค้าการลงทุนรวมทั้งการท่องเที่ยว
ยิ่ง คสช.ปกครองนานยิ่งเกิดความขัดแย้งเกิดกระแสต้าน ก็เกิดความกังวลทางการเมืองว่ารัฐประหารจะลงจากหลังเสือได้อย่างสันติไหม หรือประเทศจะไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น เป็นเมฆทะมึนปกคลุมจนคนไม่กล้าลงทุนไม่กล้าใช้จ่าย
แต่ความกังวลทางการเมืองนี้จะคลายลงถ้าสปช.รับร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 6 ก.ย. แม้แน่ละ ยังต้องวัดกันในการทำประชามติ แต่ คสช.ก็เชื่อว่าคนไทยหยวนยอมง่าย มีการเลือกตั้งไม่เป็นประชาธิปไตยยังดีกว่าอยู่ใต้คสช.ต่อไปโดยไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น ประกอบกับทำประชามติภายใต้ ม.44 ฝ่ายคัดค้านจะมีน้ำยาแค่ไหนเชียว
ภารกิจของทีมสมคิดจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร แค่ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 2-3 อย่างในการเมืองช่วงถอยก็เป็นพระเอกได้ แต่ถ้าเกิดวิกฤติการเมืองเช่นประชามติคว่ำร่าง อย่างนั้นก็ตัวใครตัวมัน  100 สมคิดก็เอาไม่อยู่

                                                                                                            ใบตองแห้ง
Source : FB Atukkit Sawangsuk & http://www.kaohoon.com/online/content/view/16654

 
Top