รายงานเสวนา กึ่งศตวรรษ เปาโล แฟร์ : แด่ผู้ถูกกดขี่ในระบบการศึ กษาไทย
Posted: 22 Sep 2016 11:30 AM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
เมื่อวันที่ 14 ก.ย.ที่ผ่ามา กลุ่มพลเรียน และกลุ่มลานยิ้ม ร่วมกับ ภาควิชาพื้นฐานการศึกษาและศูนย์ พหุวัฒนธรรมและนโยบายการศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดงานชุดเสวนาการศึกษา ประชาธิปไตย การกดขี่ และการวิพากษ์ ครั้งที่ 2 หัวข้อ “กึ่งศตวรรษ เปาโล แฟร์ : แด่ผู้ถูกกดขี่ในระบบการศึ กษาไทย” ที่ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ผู้จัดได้ระบุถึงวัตถุประสงค์ ของการจัดงานเสวนาครั้งนี้ ว่าเป็นการพูดถึง เปาโล แฟร์ (Paulo Freire ) นักการศึกษาที่สำคัญคนหนึ่ งของโลก เขาได้แต่งหนังสือ “การศึกษาของผู้ถูกกดขี่” (Pedagogy of the Oppressed) และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ถู กกดขี่ทั้งหลายในโลกเกิดการลุ กขึ้นมาตั้งคำถาม และเปลี่ยนแปลงสังคม นอกจากนี้งานเสวนาครั้งนี้ยั งเป็นการชวนมองและตั้งคำถามต่ อการกดขี่ในระบบการศึกษาไทยอี กด้วย
โดยในช่วงแรกเป็นการปาฐกถาโดย คุณพ่อ ซีริล นิพจน์ เทียนวิหาร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและฝึ กอบรมศาสนาและวัฒนธรรมชุมชน และช่วงที่สองเป็นการเสวนากับ วิจักขณ์ พาณิช ผู้แปลหนังสือ “การศึกษาของผู้ถูกกดขี่” พฤหัส พหลกุลบุตร ผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษา มูลนิธิสื่อชาวบ้าน (มะขามป้อม) และ ธีรพงษ์ ภักดีสาร นักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (กลุ่มพลเรียน) โดยมี นันท์นภัส แสงฮอง จาก คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นผู้ดำเนินรายการครั้งนี้
ช่วงที่ 1 ปาฐกถา “กึ่งศตวรรษ เปาโล แฟร์ :แด่ผู้ถูกกดขี่ในระบบการศึ กษาไทย”
คุณพ่อนิพจน์ได้เริ่มต้ นการปาฐกถาว่า การเกิดขึ้นของเปาโล แฟร์ ในปี 1960 เชื่อมโยงกับการปฏิวัติ ศาสนาในขณะนั้นเทววิทยาเพื่ อการปลดปล่อยในขณะนั้นเช่นเดี ยวกัน จึงเป็นการสร้างขึ้นที่มี ฐานมาจากปรัชญาเดียวกัน และได้ชี้ให้เห็นว่าในขณะนั้นมี นักบวชหลายๆคนที่ออกเดินทางเพื่ อแสวงหา ปัญหาของประชาชน จนหลายคนกลับใจมาอยู่ข้ างประชาชนไม่ได้ฝักใฝ่กับผู้มี อำนาจต่อไป
“หนุ่มสาวทั้งหลายเอ๋ยการเลื อกอยู่ข้างคนจนและข้างคนภูกกดขี่ คือการอยู่อย่างมีความหมาย” เป็นคำคมที่คุณพ่อนิพจน์ฝากไว้ และเป็นประโยคเตือนใจว่าเราต้ องค้นหาพื้นที่ที่ทำให้เรามี ความหมาย และจะทำให้เรามีความสุข บนกระบวนทัศน์ของเรา รวมถึงตระหนักว่าเราเรียนทุกวั นนี้เพื่อไปรับใช้ใคร ถ้าเรารู้เราก็จะมีเป้าหมายที่ ถูกต้อง
คุณพ่อนิพจน์ ยังกล่าวต่อไปว่า เปาโล แฟร์ เสนอว่าเราต้องหาพื้นที่นั้นให้ เจอเพื่อเอาหั วใจของประชาชนออกมาให้ได้ เปาโล แฟร์พูดชัดว่า “คนจน” กลัวกลไกการเมืองของรัฐมาก ดังนั้นเราต้องมีหัวใจในพื้นที่ คงไว้ หมายความว่า เราส่งหัวใจคือลู กหลานของเราออกไปศึกษาอะไรต่อมิ อะไรออกไปแล้ว แต่เราต้องได้นักศึกษาที่เป็นลู กหลานของเรา ไม่ใช่ลูกหลานของเขา จึงจะทำให้พื้นที่อยู่รอดได้ และจะทำให้ไม่ถูกกดขี่อีกต่อไป เพราะเราจะมีกระบวนการที่ สามารถต่อรอง เลือกเดินได้ว่าจะไปซ้ายหรื อจะไปขวา นี่เป็นกระบวนการที่มีความสำคั ญอย่างมาก
ทั้งหมดสามารถสรุปได้ว่าแนวคิ ดของเปาโล แฟร์ เป็นแนวคิดที่จะก่อให้เกิ ดกระบวนการต่อสู้กับกระแสหลั กได้ นั่นก็หมายความว่าเราทุกคนต่ างมีประวัติศาสตร์ มีวัฒนธรรมของตนเอง และเป็นหลักที่จะนำไปสู่วั ฒนธรรมการเรียนรู้ โลกทัศน์มุมใหม่ยิ่งขึ้น ทำไมเราต้องเรียนเพื่อการปลดปล่ อยก็เพื่อให้บ้านเมืองของเรา โลกของเรามีอนาคต
ดังนั้นการศึกษาเพื่อการปลดปล่ อยก็คือการศึกษาที่ต้องทำให้ คนมีสำนึก จิตสำนึกที่ว่าจะนำไปสู่การลุ กขึ้นมาต่อสู้กับระบบที่กดขี่ เราเอาไว้ ทั้งหมดนี้ก็คือสิ่งที่เปาโล แฟร์เสนอไว้และเป็นมรดกที่ จะทำให้เกิดคุณค่าและความหมายต่ อไป
ช่วงที่ 2 เสวนาหัวข้อ “เปาโล แฟร์ กับการศึกษาไทย”
คำถามแรก : รู้จักเปาโล แฟร์และสนใจเขาอย่างไร
พฤหัส : ผมทำงานด้านการศึกษามาพอสมควร โดยใช้การละครเป็นหลัก ทำไปสักพักก็พอว่าสิ่งที่ เราทำนี้มีทฤษฎีหรือความคิ ดรองรับอยู่ คือ “ละครสำหรับผู้ถูกกดขี่” นั่นเอง ซึ่งใกล้เคียงกับแนวคิดของเปาโล แฟร์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญอย่างมากกับนั กกิจกรรมในไทยและทั่วโลกซึ่งถู กพัฒนาในรูปการปฏิบัติต่างๆ และยอมรับเลยว่าทัศนคติผมเปลี่ ยนไปจากการเดิมที่จะเอาความรู้ ไปให้ชาวบ้าน เปลี่ยนเป็นไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งกันและกัน จึงกล่าวได้ว่าแนวคิดของเปา โลแฟร์ เด่นชัดมากในสังคมปัจจุบันนี้
วิจักขณ์ : ผมคิดว่าคงยังมีนักศึ กษาบางคนไม่รู้จักเปาโล แฟร์ จึงขออ่านโควทประโยคในเบื้องต้น การปลดปล่อยตัวเองและผู้กดขี่นั้ นคือหน้าที่อันยิ่งใหญ่ในทางมนุ ษยนิยมของผู้ถูกกดขี่ ผู้กดขี่ซึ่งใช้พลังของตนไปกั บการกดขี่ เอารัดเอาเปรียบและช่วงชิง ไม่อาจค้นพบความเข้มแข็งหรื อปลดปล่อยตัวเองได้ จะมีก็แต่พลังความอ่อนแอจากผู้ ถูกกดขี่เท่านั้นที่ถูกถั กทอจนปลดปล่อยให้เป็นอิสระ จุดเริ่มต้นของความสนใจงานเปาโล แฟร์ ของผมเกิดจากการที่เรียนจบมาแล้ วไม่ทราบว่าจะเอาประสบการณ์ทั้ งหมดที่ร่ำเรียนมาไปใช้อย่างไร
งานของเปาโล แฟร์ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ ผมสนใจและมีจินตนาการที่กว้ างออกไปมากยิ่งขึ้น ทำให้เราเห็นว่าการศึกษาเป็นส่ วนหนึ่งของความรุนแรง เป็นการครอบงำได้ ยกตัวอย่างเช่น ชาวเขาบางกลุ่มอาจถูกการศึ กษาเข้าครอบงำและถูกกลืนให้เป็ นคนส่วนใหญ่ ความเป็นชาวเขาก็หายไปนั่นเอง อย่างไรก็ดีผมสงสัยว่าคนที่ สนใจให้ความสำคัญกับหนังสื อของเปาโล แฟร์ กลายเป็นคนที่มาสนับสนุนรั ฐประหารได้ การแปลหนังสือเล่มนี้จึงเกิดขึ้ น
ธีรพงษ์ : ผมเพิ่งมารู้จักเปาโล แฟร์เอาตอนเรียนปีสามปีสี่แล้ว มันเกิดจากการที่เรารู้สึกตื่ นตัวในเรื่องของสิทธิ ในการแสดงความคิดเห็น พอเราแสดงความคิดเห็นออกไปเป็ นที่น่าฉงนว่าทำไมเขาไม่อยากให้ เราพูดหรือไม่รับฟังเรา เพราะบางทีความคิดของเรามันก็ เป็นสิ่งที่จะทำให้อะไรๆเปลี่ ยนได้บ้าง ผมก็เริ่มอ่านงานของเปาโล แฟร์ และผมมีความฝันว่า ผมอยากให้ห้องเรียนของผมเป็นห้ องเรียนที่ทำอะไรก็ได้ คล้ายๆว่าเป็นพื้นที่ปลดปล่อย ความฝันนี้ท้าทายสำหรับผมมาก และก็อยากให้เด็กๆนักเรียนของผม ความสุขในการเรียน
คำถามต่อมา : ถ้าเราเอาแนวคิดของเปาโล แฟร์มาวิเคราะห์ระบบการศึ กษากระแสหลักของไทย จะวิเคราะห์ได้อย่างไรเกี่ยวกั บระบบการกดขี่ ว่าหน้าตาการกดขี่ในการศึ กษาไทยเรามีหน้าตาเป็นอย่ างไรหรือปรากฏในรูปแบบใด?
ธีรพงษ์ : ระบบการศึกษาไทยถูกจัดการโดยเบ็ ดเสร็จจากรัฐ และผู้มีอำนาจทั้งหลาย อย่างเช่นในโรงเรียน ผู้อำนวยการทั้งหลายกลายเป็น “King of space” ซึ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเผด็ จการทั้งสิ้น เมื่อผู้อำนวยการเป็นเช่นนี้แล้ ว ครูเองก็กลายเป็นอย่างนั้นด้วย เมื่อเข้าไปในห้องเรียน ครูก็กลายเป็นคนกดขี่นักเรียนอี กคราวหนึ่ง ส่วนหนึ่งเพราะเราเชื่อว่า ถ้าเราใช้เสียงดัง ทุกคนจะฟังเรา เช่นเดียวกับการวัดประเมิ นผลในโรงเรียนจะวัดตามหลักสู ตรแกนกลางโดยไม่ได้อิงกับตัวนั กเรียนเท่าไหร่เลย ซึ่งนี่ก็เป็นการกดขี่อย่างหนึ่ งด้วย
วิจักขณ์ : ผมคิดว่าสิ่งที่มันกดขี่เรานั้ นมันเป็นเรื่องของโครงสร้ างอาจจะเรียกได้ว่าเป็นเรื่ องของโครงสร้างการกดขี่ก็ได้ เราจึงเห็นได้ว่ามันมี ความพยายามในการต่อสู้กั นทางการเมืองเพื่อปลดปล่ อยมาโดยตลอด แต่กระนั้นการเคลื่อนไหวการต่ อสู้ทั้งหลายมันก็สะดุดและโดนขั ดขวางตลอด มันจึงเป็นการสู้ที่เปลี่ ยนอะไรได้ไม่มากหรือไม่เปลี่ ยนเลย ดังนั้นผมจึงอยากย้อนไปที่ คำถามว่า แทนที่เราจะมาตั้งคำถามว่ าการกดขี่ออกมาในรูปอย่างไร เราควรถามก่อนว่าการกดขี่เกิดขึ้ นและดำรงอยู่ต่อไปทำไมก่อนดีกว่ า
พฤหัส : ผมรู้สึกว่าระบบการศึกษาเป็นคล้ ายๆอุปกรณ์หรือเครื่องมื อขนาดใหญ่ที่กล่ อมเกลาประชาชนให้เชื่อง เพื่อที่จะได้ควบคุมพลเมืองได้ เพื่อให้ทำตามอะไรบางอย่างที่ เขาต้องการ เราต้องมองว่าระบบการศึกษาอยู่ กับเรามาค่อนชีวิตดังนั้นมั นโปรแกรมเราเยอะมาก ผ่านทั้งหลักสูตร หนังสือต่างๆที่เราต้องเชื่อหรื อถ้ามองในพื้นที่โรงเรียน เราก็จะพบว่าพื้นที่ของอำนาจนิ ยมในโรงเรียนนั้นมีทุกอนู ทันทีที่เราเดินเข้าไปในโรงเรี ยนทุกสิ่งทุกอย่างได้ควบคุ มเราผ่านพิธีกรรมต่างๆ หรือแม้กระทั่งเครื่องแบบสัญลั กษณ์ต่างๆที่อยู่บนเรือนร่ างของเราก็เป็นการควบคุมเราอย่ างหนึ่ง มันน่าคิดว่า “คนที่มีมากที่สุดในโรงเรียนกลั บมีอำนาจน้อยที่สุดในโรงเรียน เช่นเดียวกับระดั บประเทศประชาชนที่มีจำนวนมากกว่ าผู้มีอำนาจ กลับมีอำนาจน้อยกว่า” หลัง 2475 มา อาจกล่าวได้ว่าเราไม่ได้ ไปไหนเลย ย่ำอยู่กับที่ ซึ่งน่าเศร้าใจเหลือเกิน
คำถามสุดท้าย : ระบบการผลิตครูของไทยตั้งแต่อดี ตจนถึงปัจจุบันมีส่วนในการผลิ ตซ้ำหรือทลายวัฒนธรรมการกดขี่ อย่างไร และ ท่านคิดว่าการเปลี่ ยนแปลงการกดขี่ในการศึ กษาไทยควรเริ่มจากจุดใด?
ธีรพงษ์ : ผมคิดว่าระบบการผลิตครูมันผลิ ตซ้ำและมีส่วนมากแน่นอน ผมเรียนมา 5 ปี ถ้าเราอาราธนาสิ่งที่เราให้มาทั้ งหมด เราก็จะออกไปกดขี่เต็มร้อยแน่ นอน ผมขอวิพากษ์นะครับ อาจารย์ของเราพยายามจะบอกให้ เราคิดใหม่ทำใหม่ แต่สุดท้ายแล้วอาจารย์ก็ขี ดกรอบให้เราอยู่ดี เพราะอยากให้เราไม่ล้ำเส้ นของอาจารย์หรือของผู้มีอำนาจ
ถ้าเราเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่ อยๆผมคิดว่าประเทศไทยเราก็พั ฒนาต่อไปไม่ได้เลย คือพูดง่ายๆว่าเดินตามเขาเดี๋ ยวจะได้ดีเอง อีกเรื่องคือการรับน้อง เราให้อำนาจกับรุ่นพี่มากเกินไป แก่กว่าเราปีสองปีมันหมายความว่ าเขารู้อะไรเยอะกว่าเราไปทุกเรื่ องอย่างนั้นหรือ ยิ่งเอาวัฒนธรรมความรุนแรงมาใช้ ในการรับน้อง น้องซึ่งกำลังจะไปเป็นครู มันยิ่งแย่ไปกันใหญ่ ผมผ่านทุกขบวนการบอกได้เลยว่า วันนี้จบมา ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการรับน้ องที่จะเอาไปประยุกต์ใช้ได้เลย แม้กระทั่งการใช้เสียงดัง(หรื อว๊ากในการรับน้องนั่นเอง) ยิ่งเราใช้เสียงดังมากเท่าไหร่ ผมบอกเลยว่าจะยิ่งเป็นการปิดกั้ นความคิดความอ่านของเด็กมากขึ้ นเท่านั้น
วิจักขณ์ : ผมคิดว่าการผลิตครูเท่าที่ ผมมองผมรู้สึกว่าครูในบ้ านเราผลิตออกมาแล้วเป็นอนุรักษ์ นิยมเยอะ คือจะยึดติดกับศีลธรรมแบบที่รั ฐต้องการ หรือคนดีที่รัฐต้องการ สมมติมีครู 100 คน ผลิตออกมา ผมว่าสัก 85 เป็นไปในทางที่ผมกล่าวหมดเลยนะ ซึ่งเท่ากับว่าก็จะเหลือครูที่ น้อยมากที่เป็นปากเป็นเสียงให้ กับคนตัวเล็กตัวน้อย อีกอย่างหนึ่งผมมองว่างานการศึ กษาเป็นงานทางการเมือง ครูจึงกลายเป็นผู้ปฏิบัติ การทางการเมืองโดยตรง ซึ่งครูและคนที่จะไปเป็นครูส่ วนใหญ่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลั งทำงานทางการเมืองอยู่ ครูต้องทบทวนตนเองให้ก้าวข้ ามความกลัวในตัวเราเองให้ได้ และอีกอย่างหนึ่งเมื่อเราคิ ดจะทำการใดเพื่อให้เกิดการเปลี่ ยนแปลง
เราอย่าคิดหาทางลัดเพื่อนำไปสู่ การเปลี่ยนแปลง เช่น คิดๆไว้พอมีรัฐประหารแล้ วเอาไปยื่นเลย ไปเสนอเลย ไม่ได้ แบบนี้ไม่ได้ผลเพราะทุกการต่อสู้ ทางการเมืองมันต้องเป็ นไปตามลำดับครับ
พฤหัส : ตัวผมเองก็ผ่านกระบวนการหล่ อหลอมแต่ก็พูดอะไรไม่ได้ มากเพราะก็ผ่านกระบวนการนี้ มาสองทศวรรษแล้ว แต่อย่างไรก็ดีถ้าเราพูดถึงวั ฒนธรรมความกลัว ผมว่าความกลัวทั้งหลายมันได้สร้ างหรือไปกำหนดวิธีที่จะปฏิบัติ ต่อกัน เช่น ผู้อำนวยการสำนักงานเขตกลั วกระทรวง ผู้อำนวยการสำนักงานเขตก็ จะไปกดขี่ผู้อำนวยการโรงเรียนต่ อ ผู้อำนวยการโรงเรียนก็ไปกดขี่ ครูต่อ ครูก็ไปกระทำกับเด็กต่อ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผลสุดท้ายเด็ กก็ไม่มีใครสนใจเลย เพราะเรามัวแต่กลัวกันจนลืมนึ กถึงเด็ก ผมคิดว่าตรงนี้ถ้าระบบการผลิ ตครูในกระแสหลักถ้าเรายังเป็ นระบบเดิมๆ เราไม่สามารถ แก้ไขปัญหาความกลัวได้ ผมคิดว่าการแก้ไขปัญหาทั้ งหลายต้องใช้เวลา ผมคิดว่าการปฏิรูปการศึกษาไม่ ได้เกิดขึ้นที่นโยบาย แต่จริงๆ แล้วมันต้องเกิดขึ้นที่ห้องเรี ยน เพราะครูทุกคนคือผู้เปลี่ ยนแปลงที่แท้จริง
ดังนั้นเรื่องของความกลัวจึงมี ความสอดคล้องทั้งงานของเปาโล แฟร์และงานอื่นๆที่ว่าด้วยวั ฒนธรรมความกลัวด้วย และเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้ องตระหนักมากยิ่งขึ้นและค่ อยๆสร้างการเปลี่ยนแปลงกันไป น้องๆที่เป็นแสงสว่างเล็ กๆจะกลายเป็นแสงสว่างที่ยิ่ งใหญ่ได้
ขณะที่ผู้ดำเนินรายการ กล่าวตอนท้ายด้วยว่า เพื่อให้เข้ากับชื่องาน งานเสวนาครั้งนี้ไม่มีข้อสรุป แต่พวกเราหวังว่าทุกท่านจะได้ เอาไปคิดต่อและตกผลึกด้ วยการแลกเปลี่ยนด้วยตัวของท่ านเอง อย่างไรก็ตามก็ทิ้งท้ายด้ วยประโยคของ เปาโล แฟร์ ในหนังสือการศึกษาของผู้ถูกดขี่ ที่ว่า “Without dialogue there is no communication, and without communication there can be no true education.”
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น