พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มอบหมายให้ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม เข้าไปตรวจสอบข้อกฎหมายเรื่องการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เพิ่มเติมจากที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้พิจารณาไว้แล้ว

 ขณะที่มีข้อถกเถียงเรื่องข้อกฎหมายตามพ.ร.บ.ตำรวจ พ.ศ.2547 ว่าการที่พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้เป็นข้าราชการตำรวจแล้วจะสามารถถอดยศได้หรือไม่

 มีความเห็นจากอดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) นักวิชาการ ดังนี้


 พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์
 อดีตรองผบ.ตร.

 การชี้แจงของนายกฯน่าจะชัดเจนแล้วว่า กระบวนการถอดยศต้องเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย ส่วนตัวมองว่าการถอดยศข้าราชการตำรวจต้องเป็นไปตามกฎหมายเช่นกัน โดยต้องคำนึงถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายเป็นหลัก
 
 การจะถอดยศต้องดูว่า ข้าราชการตำรวจผู้นั้นกระทำการเสื่อมเสียในระหว่างการดำรงตำแหน่งอย่างไร เข้าข่ายตามที่ระเบียบ หรือกฎหมายกำหนดไว้หรือไม่ ส่วนเจ้าภาพที่จะดำเนินการก็ต้องเป็นหน่วยงานต้นสังกัด แต่จะมีการให้หน่วยงานอื่นร่วมตรวจสอบด้วยหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของนายกฯ
 
 กรณีดังกล่าวจะเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ลาออกจากความเป็นข้าราชการตำรวจไปนานมากแล้ว ยศ พ.ต.ท. ที่ทักษิณมีนั้นได้รับมาจากการพระราชทานจึงติดตามตัว

 แต่ทุกวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ใช้สถานะของตำรวจมาระบุเป็นอาชีพ เพราะเขาไม่ได้บังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญา วิธีการพิจารณาคดีความอาญา ไม่ได้รักษาความสงบเรียบร้อย ไม่ได้มีอำนาจตรวจค้น จับกุม คุมขัง และไม่ได้กินเงินเดือนในฐานะข้าราชการตำรวจ

 การจะไปไล่ตามถอดยศของผู้ที่ลาออกจากราชการตำรวจไปแล้ว เพื่อความสะใจ เพื่อความเคียดแค้นของคนบางกลุ่มบางพวกจึงไม่อาจทำได้

 เพราะเขาไม่ได้เป็นตำรวจ แต่เป็นนักการเมือง เป็นนักธุรกิจ


 เอกชัย ไชยนุวัติ
 นักวิชาการด้านกฎหมาย

 ตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะมีคณะกรรมการใช้ดุลพินิจในการพิจารณา ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่ละท่านได้สร้างความเสื่อมเสียถึงขนาดที่จะถอดยศหรือไม่ ซึ่งเป็นดุลพินิจของคณะกรรมการชุดนี้โดยตรง และขึ้นตรงต่อผบ.ตร.

 จึงสงสัยว่าเหตุใดผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงจึงไม่ตัดสินใจทางใดทางหนึ่ง แต่กลายเป็นนายกฯ กับรมว.ยุติธรรมใช้อำนาจนี้แทน ในปัจจุบันคืออำนาจตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว มาตรา 44 ที่ให้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และไม่มีองค์กรอื่นใดมาตรวจสอบได้

 พูดง่ายๆ คือขณะนี้หัวหน้าคสช. มีอำนาจมากที่สุดในประเทศ เห็นได้จากการใช้มาตรา 44 ในหลายประเด็น ดังนั้น ถ้าจะอ้างฐานอำนาจ หัวหน้าคสช.มีอำนาจอยู่แล้ว จึงคิดว่าเรื่องนี้คงเป็นประเด็นละเอียดอ่อน


 อย่างไรก็ตาม ประชาชนที่รักและศรัทธาในตัวพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ผลงาน และการกระทำมากกว่ายศตำแหน่งตำรวจนั้น การจะถอดยศหรือไม่ถอดยศ ไม่ได้ทำให้ความนิยมในตัวพ.ต.ท.ทักษิณ มากขึ้นหรือลดลง

 ส่วนการมอบหมายให้กระทรวงยุติธรรม ดำเนินการพิจารณาถอดยศนั้น ต้องอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว มาตรา 44 เพราะผู้มีอำนาจโดยตรงที่แท้จริงคือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นอกจากนี้ การตัดสินใจว่าสามารถถอดยศได้หรือไม่ ตรงนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยตรง

 ดังนั้น คนที่จะตอบได้ดีที่สุดคือคณะกรรมการดังกล่าวกับผบ.ตร. หมายความว่าการจะถอดยศหรือไม่ สุดท้ายขึ้นอยู่กับเหตุผลประกอบ

 ประเด็นเรื่องการถอดยศพ.ต.ท.ทักษิณ ได้เปลี่ยนจากประเด็นทางกฎหมายมาเป็นประเด็นทางการเมืองแล้ว หากยิ่งมีการถอดยศจะยิ่งทำให้คสช.ดูไม่ดี

 ขณะที่ทางการเมืองคสช.ต้องการคะแนนนิยมมากกว่าให้เกิดคำครหาขึ้นมาอีก เพราะคสช.เข้าควบคุมอำนาจโดยอาศัยเรื่องการสร้างความปรองดอง

 พนัส ทัศนียานนท์
 อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์

 กรณีการถอดยศพ.ต.ท.ทักษิณ ที่กำลังเป็นปัญหาข้อถกเถียงกันว่าทำได้หรือไม่นั้น ถึงตอนนี้คงต้องรอดูว่าคณะกรรมการกฤษฎีกาจะมีความเห็นในเรื่องดังกล่าวเป็นเช่นไร

 แต่เท่าที่ทราบจากการนำเสนอข่าว เห็นว่าทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ระบุว่าการถอดยศพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่สามารถกระทำได้ เพราะการถอดยศทำได้เฉพาะตำรวจที่ยังดำรงตำแหน่ง แต่ปัจจุบันนี้พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้มีสถานะเป็นตำรวจแต่อย่างใด

 การมีความเห็นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเช่นนี้ แสดงว่าการถอดยศพ.ต.ท.ทักษิณ คงไม่ใช่คดีการถอดยศครั้งแรก แต่คงมีหลายต่อหลายคดีในลักษณะนี้

 หมายความว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีระเบียบวิธีปฏิบัติที่ทำต่อเนื่องกันมาจนกลายเป็นบรรทัดฐานว่า การถอดยศคนที่ไม่ได้เป็นตำรวจนั้นทำไม่ได้ ถ้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการคงมีความกลัวว่าจะถูกฟ้องกลับฐานที่ไม่ทำตามระเบียบที่วางไว้

 เพียงแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เพราะมีคนบางกลุ่มเห็นว่าพ.ต.ท.ทักษิณ มีความผิดจึงต้องมีการถอดยศ

 จึงกลายเป็นการโยนเผือกร้อนไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้ความเห็นทางกฎหมาย และไม่ว่าจะมีความเห็นออกมาในรูปแบบใดก็ไม่มีใครสามารถฟ้องร้องหรือเอาผิดได้ เนื่องจากการพิจารณามีรูปแบบเป็นองค์คณะโดยผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมาย

 แต่ถ้าคณะกรรมการกฤษฎีกาเกิดมีความเห็นว่าถอดยศได้ เชื่อว่าคงมีการดำเนินดังกล่าวในทันที เสมือนว่ามีเกราะกำบังหรือยันต์คุ้มภัย

 ทั้งที่ในข้อเท็จจริง ในสภาวะเช่นนี้การถอดยศพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่เรื่องยากเพราะรัฐบาลมีมาตรา 44 ที่เป็นบทบัญญัติอันศักดิ์สิทธิ์ ครอบคลุมทุกสิ่งไว้เป็นเครื่องมืออยู่แล้ว

 แต่การที่ไม่มีการดำเนินการอาจเห็นว่าประเด็นนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายจริงๆ แม้จะออกกฎหมายมาจัดการแต่จะให้มีผลย้อนหลังได้อย่างไร

 ส่วนการที่ยังชะลอเรื่องดังกล่าวไว้นั้นไม่เชื่อว่ามีสาเหตุเพื่อรักษาความปรองดอง เพียงแต่ประเด็นนี้มีข้อโต้แย้ง

 และอาจไปขัดต่อระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้

source :- http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1439308135


 
Top