ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา: ขอให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน
อดีตนายกรัฐมนตรีเขียนจดหมา ยเปิดผนึกถึงนายกฯเสนอไม่ให ้เร่งรีบใช้อำนาจทางปกครองเ อาผิด ให้เป็นหน้าที่ของศาลตัดสิน กรณีชดใช้เงินโครงการรับจำน ำข้าว เพราะสง่างามและเป็นธรรมมาก กว่าการใช้อำนาจผู้บริหารที ่เป็น “คู่กรณีโดยตรง”
จดหมายเปิดผนึกนี้นส.ยิ่งลั กษณ์ ได้โพสต์ในเฟสบุ๊กพร้อมๆกับ ที่มีทนายความนำจดหมายเพื่อ จะไปยื่นต่อนายกรัฐมนตรีที่ ทำเนียบรัฐบาลด้วย โดยเนื้อหาสำคัญโต้แย้งการใ ช้มาตรการของรัฐบาลเพื่อเอา ผิดและให้ชดใช้ในโครงการจำน ำข้าว จดหมายอ้างถึงการที่นายกรัฐ มนตรีมีคำสั่งเมื่อ 3 เม.ย.ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเ ท็จจริงรวบรวมหลักฐานว่ามีก ารละเมิดเนื่องจากการปฏิบัต ิหน้าที่ในโครงการจำนำข้าวแ ละจะต้องรับผิดในผลการละเมิ ดหรือไม่เป็นเงินเท่าใดโดยใ ห้เวลา 120 วัน ขยายเวลาได้ครั้งละไม่เกิน 30 วันโดยบอกว่า คดีนี้มีพยานบุคคล พยานเอกสารจำนวนมาก บวกพยานวัตถุที่เป็นข้าวหลา ยล้านตันเก็บไว้ทั่วประเทศ การจะตรวจสอบให้ครบถ้วนเพื่ อให้ความเป็นธรรมในคดีน่าจะ ต้องใช้เวลามากกว่าที่กำหนด
จดหมายกล่าวว่า ความเร่งรีบเพื่อเอาผิดอันน ี้น่าจะมาจากที่นายกรัฐมนตร ีได้รับรายงานด้านข้อกฎหมาย ที่คลาดเคลื่อนในสองเรื่อง คือเรื่องอายุความของคดี และประเด็นเรื่องวิธีการให้ รับผิด และยังกล่าวอีกว่า ในเรื่องอายุความของคดีซึ่ง เป็นคดีแพ่งและปกติอายุความ 1-2 ปีนั้น ต้องเริ่มนับตั้งแต่ในวันที ่รู้ตัวผู้ที่จะต้องรับผิดแ ละรู้มูลค่าความเสียหายที่เ กิดขึ้น ซึ่งตามหลักดังกล่าวแสดงว่า จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่เริ่ มนับอายุความ จนกว่าจะได้ข้อยุติจากหน่วย งานที่รับผิดชอบในทั้งสองเร ื่องดังกล่าว ถัดมาเนื่องจากคดีนี้อัยการ สูงสุดได้ฟ้องร้องตนในข้อหา เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว ้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอ บต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผ ู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล ้ว ดังนั้น ตามหลักที่กำหนดไว้ในมาตรา 448 ของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จะต้องถืออายุความของการรับ ผิดทางแพ่งตามอายุความทางคด ีอาญาที่ยาวกว่า
อดีตนายกรัฐมนตรียังได้เสนอ ความเห็นว่า วิธีการที่จะให้ตนรับผิดชดใ ช้ค่าเสียหายในทางแพ่งนั้น อาจจะทำได้ในสองวิธี กล่าวคือ นอกจากด้วยการฟ้องแพ่งดังกล ่าวแล้ว วิธีที่สองคือใช้คำสั่งทางป กครองเรียกให้ชดใช้ตามมาตรา 8 และ 10 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิ ดในทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539
“ซึ่งดิฉันมีข้อสังเกตว่า กรณีนายกรัฐมนตรีดำเนินการต ามนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภาไม ่น่าจะอยู่ในบังคับของกฎหมา ยนี้ อย่างไรก็ตาม เข้าใจว่ารัฐมีสิทธิที่จะเล ือกดำเนินการในทางใดทางหนึ่ งก็ได้ไม่ใช่บทบังคับให้หน่ วยงานของรัฐต้องออกคำสั่งทา งปกครองเรียกให้ดิฉันรับผิด ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเท่านั้ น ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2345/2548 ระหว่าง เทศบาลนครพิษณุโลก โจทก์ นางสาวสุภาวดี พิบูลสมบัติ จำเลย”
ซึ่งน.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวในจ ดหมายเปิดผนึกว่า เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกั บตนซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหารว มทั้งให้เวลาเจ้าหน้าที่ในก ารตรวจสอบให้มากพอจึงเสนอให ้นายกรัฐมนตรีตรวจสอบข้อกฎห มายดังกล่าวกับสำนักงานคณะก รรมการกฤษฎีกา ซึ่งยังจะช่วยลบความวิตกกัง วลของเจ้าหน้าที่หากกระทรวง คลังจะต้องฟ้องร้องตนให้ชดใ ช้ และ
“หมดความจำเป็นต้องออกคำสั่ งหัวหน้า คสช. ที่ 39/ 2558 ที่มีปัญหาข้อกฎหมายว่าเป็นคำสั ่งที่ขัดต่อหลักนิติธรรมและ เป็นการเลือกปฏิบัติ ส่วนประเด็นข้ออ้างเรื่องค่ าธรรมเนียมศาลนั้น หากดิฉันเป็นฝ่ายแพ้คดีก็ต้ องรับผิดชดใช้ค่าฤชาธรรมเนี ยมที่รัฐบาลต้องใช้ไปในการด ำเนินคดีอยู่แล้ว”
พร้อมกับย้ำในตอนท้ายว่าสิ่ งที่ตนเรียกร้องคือให้ศาลเป ็นผู้พิสูจน์เพราะจะสง่างาม และเป็นธรรมมากกว่า “เนื่องจากฝ่ายบริหารเป็นผู ้มีส่วนได้ส่วนเสียเพราะเป็ นคู่กรณีโดยตรงกับดิฉัน แต่กลับออกคำสั่งทางปกครองแ ทนศาลเรียกร้องให้ดิฉันชดใช ้ค่าสินไหมทดแทนจึงไม่เป็นธ รรม” และว่าสิ่งที่เรียกร้องคือข อโอกาสในการต่อสู้คดี กระบวนการที่เร่งรีบไม่เปิด โอกาสให้ต่อสู้ทางคดีอย่างเ ต็มที่ซึ่ง “ขัดกับสิทธิพื้นฐานความเป็ นมนุษย์”
อดีตนายกรัฐมนตรีเขียนจดหมา
จดหมายเปิดผนึกนี้นส.ยิ่งลั
จดหมายกล่าวว่า ความเร่งรีบเพื่อเอาผิดอันน
อดีตนายกรัฐมนตรียังได้เสนอ
“ซึ่งดิฉันมีข้อสังเกตว่า กรณีนายกรัฐมนตรีดำเนินการต
ซึ่งน.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวในจ
“หมดความจำเป็นต้องออกคำสั่
พร้อมกับย้ำในตอนท้ายว่าสิ่
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น