0


หากคุณตาบอด จะรู้ได้อย่างไรว่าคนที่คุยด้วยเป็นหญิงหรือชาย ?

สำหรับคนธรรมดาทั่วไปแล้ว เวลาพบเจอใครก็สามารถระบุได้ทันทีว่า คนที่เรากำลังพูดคุยอยู่ด้วยนั้นเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายแต่สำหรับผู้ที่ตาบอดซึ่งต้องพึ่งพาประสาทสัมผัสอื่น ๆ แทน เช่น การรับฟัง บางครั้งเรื่องที่ดูเหมือนง่ายกลับกลายเป็นเรื่องยาก หากชายที่พวกเขาพบ เกิดมีเสียงแหลมเหมือนผู้หญิงหรือหญิงมีเสียงห้าวเหมือนผู้ชาย

ไมค์ แลมเบิร์ตชายตาบอดคนหนึ่ง ที่ได้รับเชิญจากบีบีซีให้เขียนถึงความรู้สึกดังกล่าว บรรยายถึงความคิดที่สับสนว่าบุคคลที่เขากำลังสนทนาอยู่ด้วยนี้ เป็นชายหรือหญิงกันแน่ และดูว่าทางออกที่ดีสุดของปัญหานี้อยู่ที่ไหน ไมค์เขียนบรรยายว่าดังนี้

“วันนั้น เป็นวันหยุดของผม ผมเลยหาโอกาสไปเข้าหลักสูตรสัมมนาในหัวข้อความเสมอภาคและความหลากหลาย ผมไปถึงแต่เช้า เพราะต้องคอยเผื่อเวลาหลงทางเอาไว้ด้วย ก่อนเริ่มการสัมมนา ผมได้มีโอกาสสนทนากับคนที่ไปเร็วเหมือนกัน ซึ่งหนึ่งในนั้น เป็นอาจารย์สอนวิชาจิตวิทยาสื่อมวลชนอยู่ที่มิดแลนด์ ผมเองไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับวิชานี้มาก่อน ด้วยความอยากรู้เลยถามไป 2 คำถาม แต่ในระหว่างที่ชายคนนี้กำลังตอบคำถาม การสัมมนาก็เริ่มขึ้นทำให้เราถูกขัดจังหวะ

เมื่อการสัมมนาเริ่มขึ้น เราต้องจับคู่สอบถามเกี่ยวกับคู่ของเรา ซึ่งผมก็ได้จับคู่กับอาจารย์ผู้นี้ เขามองเห็นป้ายชื่อผมได้ แต่ผมมองไม่เห็น ผมเลยถามชื่อเขา ซึ่งเขาตอบว่าชื่อนีน่า ผมคิดในใจว่า เอ... นีน่าเป็นชื่อผู้หญิงไม่ใช่หรือ หรือชื่อของชายคนนี้จะเป็นชื่อย่อของชื่อผู้ชาย นีน่าเริ่มคุยถึงเรื่องกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ทำให้เราคุยกันต่อเกี่ยวกับเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศ ในใจผมอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า นีน่าจะเป็นคนข้ามเพศหรือเปล่า แต่ว่าคนที่สนใจเรื่องความหลากหลายทางเพศ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ในกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศเสมอไป บางทีผมอาจมโนไปแบบคนขี้เกียจก็ได้ เพราะผมเริ่มรู้สึกไม่สะดวกใจจริง ๆ สำหรับคนตาบอดอย่างผม ผมเคยรับมือกับอะไรที่ไม่แน่นอนมาแล้วหลายเรื่อง แต่การคุยอยู่กับใครสักคนโดยที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่ เป็นเรื่องกระอักกระอ่วนพอสมควร ผมตั้งใจฟังเสียงของนีน่า ซึ่งมีน้ำเสียงฟังดูอ่อนนุ่มและค่อนข้างลังเล แต่จากระดับเสียงแล้ว ต้องเป็นผู้ชายแน่ ๆ

ตอนใกล้ถึงตาของผมที่ต้องแนะนำคู่ของผม ผมเริ่มใจสั่น หลักสูตรที่ผมเข้าในวันนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเสมอภาคและความหลากหลายเสียด้วย ผมจะเรียกนีน่าว่าเขาหรือเธอดี หากผมแก้ปัญหาด้วยการเรียกเธอว่า นีน่านั่น นีน่านี่ตลอด ฟังแล้วคงแปลก เมื่อสถานการณ์คับขันเข้ามาทุกที ผมจึงหันไปถามนีน่าว่า อยากให้ผมใช้สรรพนามไหนดี ซึ่งนีน่าก็ตอบอย่างเย็นชาว่า “เธอ”

ผมพบนีน่าอีกครั้ง ตอนช่วงพักดื่มกาแฟ เธอเข้ามาหาผม แล้วบอกว่าเธอชอบคำถามที่ผมถามว่า “อยากให้ใช้สรรพนามไหนดี” เธอบอกว่าเวลาคุยโทรศัพท์กับคนแปลกหน้า บางครั้งเธอจะถูกถามในลักษณะนี้ เธอบอกผมว่า หากผมมองเห็นเธอละก็ รับรองได้ว่าผมจะไม่ถามคำถามนั้นเด็ดขาด

วันนั้น หลังจบการสัมมนา ผมถามคนที่นั่นว่า ใครจะเดินไปสถานีบ้างเพื่อว่าผมจะได้เกาะแขนไป นีน่าเสนอตัวว่าจะเดินไปกับผม ซึ่งเมื่อเราเดินออกจากตึกที่พื้นปูพรมแล้ว สิ่งที่ผมได้ยินทันทีก็คือเสียงรองเท้าส้นสูงของเธอ

เมื่อหวนคิดถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ผมได้บทเรียนว่า เราไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าเราจะพบใคร แต่หากว่าเรามีความจริงใจและมองโลกอย่างอารมณ์ดีแล้วละก็ ประสบการณ์นั้นจะกลายเป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่าและกระตุ้นเตือนความคิดใหม่ ๆ ให้กับเราทั้งสองได้”
ภาพประกอบคือภาพของคุณไมค์ แลมเบิร์ต

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

 
Top