หากคุณตาบอด จะรู้ได้อย่างไรว่าคนที่คุย ด้วยเป็นหญิงหรือชาย ?
สำหรับคนธรรมดาทั่วไปแล้ว เวลาพบเจอใครก็สามารถระบุได ้ทันทีว่า คนที่เรากำลังพูดคุยอยู่ด้ว ยนั้นเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่สำหรับผู้ที่ตาบอดซึ่งต้ องพึ่งพาประสาทสัมผัสอื่น ๆ แทน เช่น การรับฟัง บางครั้งเรื่องที่ดูเหมือนง ่ายกลับกลายเป็นเรื่องยาก หากชายที่พวกเขาพบ เกิดมีเสียงแหลมเหมือนผู้หญ ิงหรือหญิงมีเสียงห้าวเหมือ นผู้ชาย
ไมค์ แลมเบิร์ตชายตาบอดคนหนึ่ง ที่ได้รับเชิญจากบีบีซีให้เ ขียนถึงความรู้สึกดังกล่าว บรรยายถึงความคิดที่สับสนว่ าบุคคลที่เขากำลังสนทนาอยู่ ด้วยนี้ เป็นชายหรือหญิงกันแน่ และดูว่าทางออกที่ดีสุดของป ัญหานี้อยู่ที่ไหน ไมค์เขียนบรรยายว่าดังนี้
“วันนั้น เป็นวันหยุดของผม ผมเลยหาโอกาสไปเข้าหลักสูตร สัมมนาในหัวข้อความเสมอภาคแ ละความหลากหลาย ผมไปถึงแต่เช้า เพราะต้องคอยเผื่อเวลาหลงทา งเอาไว้ด้วย ก่อนเริ่มการสัมมนา ผมได้มีโอกาสสนทนากับคนที่ไ ปเร็วเหมือนกัน ซึ่งหนึ่งในนั้น เป็นอาจารย์สอนวิชาจิตวิทยา สื่อมวลชนอยู่ที่มิดแลนด์ ผมเองไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับ วิชานี้มาก่อน ด้วยความอยากรู้เลยถามไป 2 คำถาม แต่ในระหว่างที่ชายคนนี้กำล ังตอบคำถาม การสัมมนาก็เริ่มขึ้นทำให้เ ราถูกขัดจังหวะ
เมื่อการสัมมนาเริ่มขึ้น เราต้องจับคู่สอบถามเกี่ยวก ับคู่ของเรา ซึ่งผมก็ได้จับคู่กับอาจารย ์ผู้นี้ เขามองเห็นป้ายชื่อผมได้ แต่ผมมองไม่เห็น ผมเลยถามชื่อเขา ซึ่งเขาตอบว่าชื่อนีน่า ผมคิดในใจว่า เอ... นีน่าเป็นชื่อผู้หญิงไม่ใช่ หรือ หรือชื่อของชายคนนี้จะเป็นช ื่อย่อของชื่อผู้ชาย นีน่าเริ่มคุยถึงเรื่องกลุ่ มบุคคลที่มีความหลากหลายทาง เพศ ทำให้เราคุยกันต่อเกี่ยวกับ เรื่องอัตลักษณ์ทางเพศ ในใจผมอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า นีน่าจะเป็นคนข้ามเพศหรือเป ล่า แต่ว่าคนที่สนใจเรื่องความห ลากหลายทางเพศ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ใ นกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหล ายทางเพศเสมอไป บางทีผมอาจมโนไปแบบคนขี้เกี ยจก็ได้ เพราะผมเริ่มรู้สึกไม่สะดวก ใจจริง ๆ สำหรับคนตาบอดอย่างผม ผมเคยรับมือกับอะไรที่ไม่แน ่นอนมาแล้วหลายเรื่อง แต่การคุยอยู่กับใครสักคนโด ยที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้ชาย หรือผู้หญิงกันแน่ เป็นเรื่องกระอักกระอ่วนพอส มควร ผมตั้งใจฟังเสียงของนีน่า ซึ่งมีน้ำเสียงฟังดูอ่อนนุ่ มและค่อนข้างลังเล แต่จากระดับเสียงแล้ว ต้องเป็นผู้ชายแน่ ๆ
ตอนใกล้ถึงตาของผมที่ต้องแน ะนำคู่ของผม ผมเริ่มใจสั่น หลักสูตรที่ผมเข้าในวันนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเสม อภาคและความหลากหลายเสียด้ว ย ผมจะเรียกนีน่าว่าเขาหรือเธ อดี หากผมแก้ปัญหาด้วยการเรียกเ ธอว่า นีน่านั่น นีน่านี่ตลอด ฟังแล้วคงแปลก เมื่อสถานการณ์คับขันเข้ามา ทุกที ผมจึงหันไปถามนีน่าว่า อยากให้ผมใช้สรรพนามไหนดี ซึ่งนีน่าก็ตอบอย่างเย็นชาว ่า “เธอ”
ผมพบนีน่าอีกครั้ง ตอนช่วงพักดื่มกาแฟ เธอเข้ามาหาผม แล้วบอกว่าเธอชอบคำถามที่ผม ถามว่า “อยากให้ใช้สรรพนามไหนดี” เธอบอกว่าเวลาคุยโทรศัพท์กั บคนแปลกหน้า บางครั้งเธอจะถูกถามในลักษณ ะนี้ เธอบอกผมว่า หากผมมองเห็นเธอละก็ รับรองได้ว่าผมจะไม่ถามคำถา มนั้นเด็ดขาด
วันนั้น หลังจบการสัมมนา ผมถามคนที่นั่นว่า ใครจะเดินไปสถานีบ้างเพื่อว ่าผมจะได้เกาะแขนไป นีน่าเสนอตัวว่าจะเดินไปกับ ผม ซึ่งเมื่อเราเดินออกจากตึกท ี่พื้นปูพรมแล้ว สิ่งที่ผมได้ยินทันทีก็คือเ สียงรองเท้าส้นสูงของเธอ
เมื่อหวนคิดถึงสถานการณ์ที่ เกิดขึ้น ผมได้บทเรียนว่า เราไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าเ ราจะพบใคร แต่หากว่าเรามีความจริงใจแล ะมองโลกอย่างอารมณ์ดีแล้วละ ก็ ประสบการณ์นั้นจะกลายเป็นปร ะสบการณ์ที่มีคุณค่าและกระต ุ้นเตือนความคิดใหม่ ๆ ให้กับเราทั้งสองได้”
ภาพประกอบคือภาพของคุณไมค์ แลมเบิร์ต
สำหรับคนธรรมดาทั่วไปแล้ว เวลาพบเจอใครก็สามารถระบุได
ไมค์ แลมเบิร์ตชายตาบอดคนหนึ่ง ที่ได้รับเชิญจากบีบีซีให้เ
“วันนั้น เป็นวันหยุดของผม ผมเลยหาโอกาสไปเข้าหลักสูตร
เมื่อการสัมมนาเริ่มขึ้น เราต้องจับคู่สอบถามเกี่ยวก
ตอนใกล้ถึงตาของผมที่ต้องแน
ผมพบนีน่าอีกครั้ง ตอนช่วงพักดื่มกาแฟ เธอเข้ามาหาผม แล้วบอกว่าเธอชอบคำถามที่ผม
วันนั้น หลังจบการสัมมนา ผมถามคนที่นั่นว่า ใครจะเดินไปสถานีบ้างเพื่อว
เมื่อหวนคิดถึงสถานการณ์ที่
ภาพประกอบคือภาพของคุณไมค์ แลมเบิร์ต
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น