นักวิชาการชี้ หลายประเทศอาเซียนเผชิญปัญหาการถ่วงดุลอิทธิพลจีน
นักวิชาการสะท้อนมุมมองอาเซียน ต้องระมัดระวังความสัมพันธ์จีน หลายประเทศพบปัญหาการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่สอดคล้องกับการพัฒนาสังคม กระบวนการประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนหยุดชะงัก บางประเทศเผชิญภาวะชุมชนจีนที่อพยพเข้ามาตั้งรกรากและได้ประโยชน์จากการค้าทดแทนชุมชนเดิม ขณะที่เวียดนามพยายามมองหาพันธมิตรใหม่ๆ หลังจากทะเลจีนใต้ระอุด้วยปัญหาเขตแดน
ในการสัมมนาจีนกับอาเซียนภาคพื้นทวีป ที่ศูนย์อาเซียนศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดร.สุทธิพันธ์ จิราธิวัฒน์ ผู้อำนวยการบริหาร ศูนย์อาเซียนศึกษา กล่าวถึงจีนกับประเทศในกลุ่มอาเซียนที่มีแนวโน้มสัมพันธ์กันในทางเศรษฐกิจมากขึ้นในหลายมิติ โดยในปี ค.ศ. 2014 รัฐบาลจีนประกาศถึงแผนการ "เส้นทางสายไหมใหม่" (New Silk Road) ซึ่งมีวิสัยทัศน์เชื่อมเส้นทางขนส่งสินค้าทางบกเชื่อมเอเชียผ่านจากจีนไปสู่ยุโรป
อย่างไรก็ตาม ในด้านความมั่นคงนั้น ปัญหาในทะเลจีนใต้ ถือเป็นความท้าทายใหม่ในภูมิภาค เพราะจีนเองกำลังขยายอิทธิพลในทะเลจีนใต้ ขณะที่ชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาโดยประธานาธิบดีโอบาม่า ประกาศยุทธศาสตร์ปักหมุดในเอเชีย (Pivot to Asia) รวมทั้งนโยบายปรับสมดุลในเอเชีย (Rebalance to Asia) ซึ่งเป็นการให้ความสำคัญกับเรื่องความมั่นคงโดยเฉพาะในพื้นที่ทะเลจีนใต้ ขณะที่ญี่ปุ่น เพิ่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้กองกำลังป้องกันตนเอง (JSDF) สามารถปฏิบัติการทางทหารภายนอกประเทศด้วย ขณะที่ในมหาสมุทรอินเดีย ก็เริ่มเห็นการปรากฏตัวทางทหารของกองทัพเรืออินเดีย
ดร.สุทธิพันธ์ ชี้ว่า ในขณะที่มีโอกาสมหาศาลจากการที่จีนขยายตัวเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ แต่ขณะเดียวกันความเสี่ยงก็เพิ่มมากขึ้นและมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นในความสัมพันธ์เช่นนี้
ด้าน สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี บรรณาธิการข่าวต่างประเทศ เครือเนชั่น ระบุว่า ในกรณีของเวียดนาม ปัญหาเขตแดนในทะเลจีนใต้ส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อการค้าระหว่างกัน แม้การย้ายจากตลาดหนึ่งไปอีกตลาดหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เวียดนามก็พยายามที่จะทำ โดยการพยายามเปิดการค้ากับพันธมิตรใหม่ๆ เช่น ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น เป็นต้น ส่วนประเด็นหลักด้านความมั่นคงของเวียดนามตอนนี้ก็คือการถ่วงดุลความสัมพันธ์สามฝ่ายระหว่างเวียดนาม จีน และสหรัฐ
อดิศร เสมแย้ม นักวิจัยของศูนย์อาเซียนศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งลงพื้นที่สัมภาษณ์ประชาชนลาวในกว่า 10 จังหวัด สรุปว่า ชาวลาวรู้สึกอิหลักอิเหลื่อกับการที่จีนเข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจซึ่งผลประโยชน์ตกอยู่กับรัฐบาล และข้าราชการระดับบน รวมถึงชุมชนจีนที่อพยพเข้ามาใหม่ ขณะที่ประชาชนระดับล่างกลับไม่ได้ประโยชน์อะไร ที่เป็นปัญหากว่านั้นคือ คนลาวไม่มีเสรีภาพทีจะแสดงออก หรือต้องการออกมาต่อต้านนโยบายรัฐที่ซึ่งพวกเขาไม่เห็นด้วย
ณัฐพล ตันตระกูลทรัพย์ นักวิจัยของศูนย์อาเซียนศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศึกษาความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างจีนกับเมียนมาร์ชี้ว่า จีนเน้นลงทุนในเมียนมาร์ตอนบนมาก แต่มีปัจจัยที่ต้องคำนึงคือกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ไม่ได้เข้าถึงประโยชน์จากการค้าอย่างเท่าเทียมกัน และความรู้สึกของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่มีต่อจีนก็ไม่เหมือนกัน เช่นในมันฑะเลย์ มีคนจีนย้ายมาตั้งรกรากมาก อาจจะเกิดปัญหาระหว่างชาติพันธุ์ได้ ขณะที่ในเขตรัฐฉานซึงประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวไทยใหญ่มีความรู้สึกเป็นมิตรกับจีนแต่มีปัญหากับกองทัพพม่ามากกว่า
เขาชี้ว่าความสัมพันธ์จีนและเมียนมาร์เริ่มมีปัญหาขึ้นหลังการเลือกตั้งทั่วไปของเมียนมาร์ปี 2553 เป็นต้นมา และในอนาคต เมียนมาร์อาจจะไม่ต้องการขึ้นกับการลงทุนของจีนอีกต่อไป เพราะจีนเข้ามาแทรกแซงนโยบายในหลายด้าน ขณะเดียวกันบทบาทของภาคประชาสังคม ก็เริ่มมีมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับชุมชน เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของการละเมิดสิทธิและสิ่งแวดล้อมในระดับชุมชน
ด้าน ดร. กฤษฎ์เลิศ สัมพันธารักษ์ นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก ตั้งข้อสังเกตต่อกรณีที่จีนเข้ามามีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจของกัมพูชาสูง และยังมีบทบาทในแง่ของการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและการศึกษา รวมถึงด้านการทหารให้กับประเทศอย่างกัมพูชา ในอีกด้านก็ส่งผลให้เกิดปัญหาการพัฒนาด้านสิทธิมนุษยชนล่าช้าออกไป
เขาเห็นว่ากัมพูชาเป็นตัวอย่างของการที่มีนโยบายด้านเศรษฐกิจขึ้นกับจีนมากเกินไป ซึ่งโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลต่างๆ ในอาเซียนต่อประเด็นความสัมพันธ์กับจีนก็คือการถ่วงดุลด้านนโยบายเศรษฐกิจกับมิติอื่นในทางสังคมและการเมืองทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ โดยตัวอย่างประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจแน่นแฟ้นกับจีนอย่างมาก อย่างเมียนมาร์และกัมพูชา ต้องพบกับปัญหาขาดความอิสระในการดำเนินนโยบาย


 
Top