0

เมื่อราคาน้ำมันดิบลดจากบาร์เรลละเกือบ 100 ดอลลาร์เหลือไม่เกินบาร์เรลละ 40 ดอลลาร์ในปัจจุบันทำให้เงินซาอุฯไม่เข้าคลัง ซาอุฯยังถอนเงินทุนสำรองระหว่างประเทศออกมาใช้ทำสงครามปราบปรามกลุ่มไอซิสกับประเทศตะวันตก และยังเป็นแกนนำทำสงครามในประเทศเยเมน แล้วซาอุดิ อาระเบียจะไม่ล้มละลายได้อย่างไร ดังนี้....
คงจำกันได้ว่าเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2015 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้นำรายงานผลการสำรวจเศรษฐกิจและการเงินของโลก (World Economic and Financial Surveys)ออกเผยแพร่โดยระบุว่าประเทศซาอุดิ อาระเบียกำลังจะล้มละลายภายใน 5 ปี หลังจากประเมินออกมาว่างบประมาณรายจ่ายของซาอุฯปี 2015 ติดลบ 21.6 % และปี 2016 จะติดลบ 19.4 %
เมื่อเดือนตุลาคม 2015 ซาอุฯมีเงินสำรองระหว่างประเทศ 654.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่เงินสดของซาอุฯหายไปอย่างรวดเร็ว  ทั้งนี้สำนักงานการเงินของซาอุฯถอนเงินจากสถาบันการเงินต่างประเทศ 70 พันล้านดอลลาร์ และยังสูญอีก 73 พันล้านดอลลาร์อันเนื่องมาจากราคาน้ำมันดิบตกต่ำปัจจุบันรายได้ของประเทศซาอุฯขึ้นอยู่กับน้ำมันดิบ 90 %
เมื่อต้นปี 2015 ซาอุฯใช้เงิน 32 พันล้านดอลลาร์กระจายไปทั่วประเทศเพื่อเฉลิมฉลองการขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์ซัลมาน ( King Salman Bin Abdulaziz Al Saud )
ปี 2015 ซาอุฯใช้เงินเป็นอันดับ 3 ของโลกไปกับงบประมาณกลาโหมรวม 80.8 พันล้านดอลลาร์ขึ้นแซงหน้ารัสเซีย  ซาอุฯเป็นประเทศหลักที่ทำสงครามกับเยเมน โดยยังมองไม่เห็นเลยว่าจะได้รับชัยชนะ อีกทั้งเงินทำสงครามก็ถูกสูบออกไปเรื่อยๆ 
IMF ประเมินว่าในปี 2015 GDP ของซาอุฯจะขาดดุล 20 %  เฉพาะราคาน้ำมันดิบตกต่ำทำให้ซาอุฯขาดยอดขายไป 360 พันล้านดอลลาร์ในปี 2015 นายมาซู้ด อาเหม็ด ผู้อำนวยการสำนักงานไอเอ็มเอฟตะวันออกกลางเปิดเผย
ซาอุฯอาจนำเข้าน้ำมันในปี 2032
ปัจจุบันซาอุฯผลิตน้ำมันดิบวันละ 10.3 ล้านบาร์เรล ทั้งนี้แยกเป็นส่งออก 7.15 ล้านบาร์เรลและใช้ในประเทศวันละ 3.15 ล้านบาร์เรล ขณะเดียวกันบริษัทอารามโก้ (Saudi Aramco)ซึ่งเป็นวิสาหกิจน้ำมันของประเทศเชื่อว่าในปี 2030 ความต้องการใช้น้ำมันในประเทศอาจเพิ่มขึ้นถึงวันละ 8.2 ล้านบาร์เรล นักวิเคราะห์หลายส่วนมองว่าซาอุฯอาจจะต้องนำเข้าน้ำมันดิบเมื่อถึงปี 2032
กระทรวงการคลังซาอุฯประเมินว่างบประมาณปี 2016 จะขาดดุล 87 พันล้านดอลลาร์ โดยมีงบประมาณรายจ่าย 224 พันล้านดอลลาร์และงบประมาณรายรับ 137 พันล้านดอลลาร์  งบประมาณรายจ่ายที่ใช้มากที่สุดคืองบกลาโหมและความมั่นคง 56.38 พันล้านดอลลาร์หรือมากกว่า 25 % ของงบประมาณรายจ่ายทั้งปี
มีการประเมินกันว่าหากซาอุฯยังใช้เงินเพื่องบกลาโหมเช่นนี้เมื่อถึงปี 2020 จะใช้งบกลาโหมและความมั่นคงถึง 62 พันล้านดอลลาร์  ซาอุฯใช้งบกลาโหมและความมั่นคงเพิ่มขึ้นปีละ 19 % นับตั้งแต่มีการปฏิวัติโลกอาหรับในปี 2011 เป็นต้นมา
ในปี 2015 ซาอุฯมีงบประมาณรายจ่ายรวม 260 พันล้านดอลลาร์ ทำให้ขาดดุล 98 พันล้านดอลลาร์ สาเหตุเพราะมีการขึ้นเงินเดือนแก่พลเรือน,ทหาร,เงินประกันสังคมและเงินแก่ผู้เกษียณ 
ในปี 2015 เงินทุนสำรองระหว่างประเทศลดลงจาก 732 พันล้านดอลลาร์เหลือ 623 พันล้านดอลลาร์หรือไม่ยังถึง 12 เดือนก็ลดลงจำนวนมาก หากคำนวณงบประมาณด้วยสถิติปัจจุบันและราคาน้ำมันดิบไม่เปลี่ยนแปลง รวมทั้งสถานการณ์ในตะวันออกกลางยังคงมีการสู้รบ เงินสำรองระหว่างประเทศของซาอุฯจะมีใช้จ่ายเพียง 5 ปีเท่านั้น
ในช่วงปี 2014-2015 ราคาน้ำมันดิบตกต่ำมากเป็นประวัติการณ์ และในอนาคตมีการประเมินว่ากลุ่มโอเปคจะผลิตน้ำมันเกินความต้องการวันละ 3 ล้านบาร์เรล สาเหตุมาจากประเทศอิรักและอิหร่านก็จะผลิตน้ำมันออกมาจำหน่ายในท้องตลาดได้  ขณะที่โลกปัจจุบันมีการพัฒนาเทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้นทำให้หลายประเทศหันไปใช้พลังงานอื่นแทนน้ำมันดิบอาทิเช่นพลังงานจากแสงแดด (Solar Energy)
ขณะเดียวกันรัฐบาลซาอุฯก็ให้การช่วยเหลือประชาชนด้านน้ำมันดิบและแก๊สในราคาถูก ทำให้รัฐบาลขาดรายได้ปีละประมาณ 60 พันล้านดอลลาร์ และอีก 10 พันล้านดอลลาร์นำไปใช้จ่ายในกระแสไฟฟ้าและน้ำประปา  นโยบายนี้ก็คือประชานิยมดีๆนี่เอง
เมื่อเร็วๆนี้รัฐบาลจึงประกาศขึ้นราคาแก๊สธรรมชาติ 66 %,แก๊สอีเทน 133 % และน้ำมันเบนซิน 50 % การขึ้นราคาดังกล่าวดูเหมือนว่าจะขึ้นมากเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ แต่ในความเป็นจริงแล้วราคายังต่ำกว่าตลาดโลกมาก แม้ว่าจะขึ้นราคาพลังงานโดยรวมแต่ราคาสินค้าและบริการก็ยังไม่ได้ขยับขึ้น การจ้างงานของภาครัฐก็ยังเพิ่มขึ้น  สิทธิประโยชน์ต่างๆที่ประชาชนได้รับก็ยังคงเหมือนเดิม
ปัญหาใหญ่ของซาอุฯคือเยาวชนว่างงาน
ราคาน้ำมันดิบลด,การช่วยเหลือประชาชนให้ได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ,ใช้งบประมาณกลาโหมจำนวนมาก,การทำสงครามในเยเมนและการสนับสนุนกลุ่มกบฎในซีเรีย(เพื่อโค่นรัฐบาลอัล-อัสซาด) รังแต่จะทำให้เงินของซาอุฯลดฮวบลง
ปัญหาใหญ่กว่านั้นคือประเทศซาอุฯกำลังเผชิญกับการว่างงานของคนในวัยหนุ่มสาวจะทำให้ประเทศขาดความมั่นคงอย่างแท้จริง นักวิเคราะห์ชี้ว่าซาอุฯจะต้องร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อให้เกิดการว่าจ้างในกลุ่มคนเหล่านี้ เพราะปัญหาสังคมที่มีคนว่างงานมากจะนำมาซึ่งความไม่สงบมากกว่าการก่อการร้าย 
แม้ว่าซาอุฯจะใช้งบประมาณเพื่อการศึกษาและการฝึกงานคิดเป็น 23 % ของงบประมาณรายจ่ายทั้งหมดหรือ 51 พันล้านดอลลาร์ก็ตาม แต่ดูเหมือนจะยังไม่ใช่คำตอบ เพราะเยาวชนว่างงานจะเกิดปัญหาเศรษฐกิจสังคมตามมา 

ปัจจุบันซาอุฯมีประชากร 30.8 ล้านคน 2 ใน 3 เป็นพลเมืองที่อายุน้อยกว่า 30 ปี  และอัตรการว่างงานของคนอายุ 15-24 ปีมีสูงถึง 30 % จากการศึกษาของ Woodrow Wilson International Center for Scholars ในปี 2011 พบว่าขณะนั้นซาอุฯมีพลเมืองอายุ 14 ปีและอายุน้อยกว่ารวมกันแล้ว 37 % ดังนั้นซาอุฯจะต้องสร้างงานใหม่ขึ้นมาถึง 3 ล้านตำแหน่งภายในปี 2020  เพื่อรับมือกับการเติบโตของคนรุ่นใหม่


การใช้รถ SUV หรือรถอื่นใดมาขี่ 2 ล้อบนถนนที่ประเทซาอุดิ อาระเบียเรียกว่าTwo-wheel driving, known as “skiing” หรือ “sidewall skiing,” เป็นที่ได้รับความนิยมของวัยรุ่นซาอุฯ เยาชนเหล่านี้ว่างวฝานถึง 30 % เป็นปัญหาใหญ่ของซาอุฯ   
-----------------------------
อีกประการหนึ่งคือความไม่เท่าเทียมกันในด้านกฎหมาย,การเมืองและสิทธิมนุษยชนต่างๆซึ่งซาอุฯยังอยู่ห่างไกลจากมาตรฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ  กล่าวคือปัจจุบันมีประชากรประมาณ 10 ล้านคนรวมทั้งเด็กที่เกิดโดยมีแม่เป็นชาวซาอุฯแต่มีพ่อเป็นคนต่างชาติ  คนพวกนี้ไม่ได้รับสิทธิบางประการ
ตัวอย่างเช่น เด็กที่เกิดจากแม่ซาอุฯแต่มีพ่อเป็นชาวต่างชาติมีสิทธิได้รับการศึกษาตั้งแต่ชั้นประถมจนเรียนจบมหาวิทยาลัยได้ มีสิทธิ์ที่ทำงานได้อย่างถูกกฎหมาย แต่บุคคลเหล่านี้ถือว่าไม่ใช่พลเมือง (citizens)ของซาอุฯ กลายเป็นคนต่างด้าวที่ไม่มีสิทธิ์รับเงินบำนาญจากรัฐ แตกต่างไปจากเด็กที่เกิดจากพ่อเป็นชาวซาอุฯ แต่แม่เป็นคนชาติใดก็ได้ เด็กเหล่านี้กลับถือว่าเป็นพลเมืองซาอุฯ
ซาอุดิฯจะไปรอดต้องปฎิรูปสังคม
จากการประเมินของ IMF ซาอุฯจะต้องรับฟังและรีบปฏิรูปประเทศเป็นการเร่งด่วนเพราะเวลา 5 ปีไม่นานนักที่จะกลายเป็นประเทศล้มละลาย สิ่งที่ไอเอ็มเอฟแนะนำก็คือ
1.จะต้องตัดเงินช่วยเหลือแบบประชานิยมทันที
2.ลดค่าใช้จ่ายทางกลาโหมและลดการขาดดุลงบประมาณ
3.ขายวิสาหกิจของประเทศบางรายการเพื่อนำเงินสดเข้ามาจะทำให้ไม่เป็นภาระ
4.สร้างงานให้เยาวชนรุ่นใหม่ได้มีงานทำ
5.สิ่งที่ประเทศสภาความร่วมมืออ่าว (GCC)กำลังดำเนินการคือการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax)ในสินค้าและบริการโดยไอเอ็มเอฟแนะนำให้เริ่มเก็บ 5 % ก่อน  คาดว่าจะดำเนินการได้ในปี 2016 หรือหลังจากนี้จะทำให้รัฐมีรายได้เข้าประเทศอีกทางหนึ่ง
กล่าวโดยสรุปสิ่งที่ซาอุฯจะต้องหยุดทำทันทีประกอบด้วยการจ่ายเงินอุดหนุนทางการเมือง,สังคมและหันมาปฏิรูปสถาบันต่างๆ,หยุดจ่ายเงินสนับสนุนกลุ่มกบฎในซีเรีย,หยุดเผาเงินทุนสำรองของตนเพื่อการใช้จ่ายในการสงคราม,หยุดเพิกเฉยความต้องการของคนรุ่นใหม่นั่นคือการหางานให้เขาทำ
ข้อมูลคนต่างชาติในซาอุฯ
ซาอุฯเป็นประเทศที่มีต่างชาติไปอาศัยอยู่และทำงานให้รัฐบาลซาอุฯ ครั้งหนึ่งแรงงานไทยก็ไปขายแรงงานที่ประเทศซาอุฯจำนวนมาก จนเกิดเพลง ไปเสียนา มาเสียเมียขึ้นมาล้อเลียน สำนักงานกลางสถิติและข่าวสารซาอุดิ อาระเบียมีตัวเลขของคนต่างชาติอาศัยในซาอุฯเมื่อสิ้นปี 2014 รวม 33 % หรือคิดเป็น 10.1 ล้านคน
ขณะที่ตัวเลขของ CIA Factbook ในปี 2013 ระบุว่าชาวต่างชาติอาศัยอยู่ในซาอุฯคิดเป็น 21 % ของประชากรประกอบด้วยอินเดีย 1.3 ล้านคน,ปากีสถาน 1.5 ล้านคน,อียิปต์ 900,000 คน,เยมิไน (เยเมน) 800,000 คน,บังคลาเทศ 500,000 คน ,ฟิลิปปินส์ 500,000 คน,จอร์แดน/ปาเลสไตน์ 260,000 คน,อินโดนีเซีย 250,000 คน,ศรีลังกา 350,000 คน,ซูดาน 250,000 คน,ซีเรีย 100,000 คนและตุรกี 100,000 คน
ส่วนชาวตะวันตกหลายชาติรวมกันมีประมาณ 100,000 คน คนต่างชาติจะอยู่ในเขตเฉพาะของตน(compounds or gated communities)

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

 
Top