0
นักวิชาการ ชี้สังคมไทยไม่ใช่ห้องทดลอง หาก รธน.+คำถามพ่วง ผ่านก็ยากต่อการควบคุม
Posted: 25 Apr 2016 08:53 AM PDT  (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
สถาบันวิชาการจับมือจัดงานถกแถลง ‘คำถามพ่วงท้ายมีนัยอย่างไร’ ผู้เข้าร่วมชี้ส่อแวดสืบทอดอำนาจ ด้าน ‘กลุ่มพลเมืองผู้ห่วงใย’ จี้ให้ผู้มีอำนาจระบุทางเลือกให้ชัดเจน หาก รธน. ถูกตีตก ด้าน ‘เบญจรัตน์’ เกือบถูกรวบไป สน. หลังถือเอกสาร 7 เหตุผลโหวตโนในงาน
เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 2559 เวลา 13.00 น. ที่ห้องประชุมมาลัยหุวะนันท์ ชั้น 12 อาคารเกษมอุทยานิน คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มีการจัดงานถกแถลงในหัวข้อ ‘คำถามพ่วงท้ายมีนัยอย่างไร’ ซึ่งจัดโดย สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชนศึกษา (สสส.), ศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง, ศูนย์ศึกษาการพัฒนาสังคมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งนี้มีผู้ร่วมถกแถลงประกอบด้วย รศ.ตระกูล มีชัย คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ผศ.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ฐิติพล ภักดีวาณิช คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, เบญจรัตน์ แซ่ฉั่ว สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล และไพโรจน์ พลเพชร สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน


ตระกูล เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามว่า ทำไมต้องมีคำถามพ่วง ในการออกเสียงประชามติรับไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ โดยเขาวิเคราะห์ว่า อาจจะมีความเป็นไปได้ 4 เหตุผลคือ 1.ร่างรัฐธรรมนูญที่ปรับแก้ตามข้อเสนอของแม่น้ำ 4 สาย ยังไม่ได้เขียนตามเจตนารมณ์ของผู้มีอำนาจอย่างเต็มที่ 2.ผู้ที่เสนอคำถามพ่วงนั้นอาจจะมองว่า โครงสร้างกลไก เนื้อหาของรัฐธรรมนูญไม่เป็นหลักประกันที่เพียงพอต่อการสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงของกลุ่มที่มีอำนาจอยู่ในปัจจุบัน 3.คำถามพ่วงอาจจะเกิดจากความเกรงกลัวว่าฝ่ายการเมือง จะเข้ามาคุมกลไกอำนาจ และอาจจะรื้อโครงสร้างกลไกอำนาจที่ดำเนินการมาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หรือ4.คำถามพ่วงเกิดจากการที่ผู้มีอำนาจ ยังไม่อยากลงจากอำนาจ อยากจะอยู่ต่อไปเรื่อยๆ
ตระกูลกล่าวต่อว่า ตัวเหตุผลที่ใช้อ้างในคำถามพ่วงที่บอกว่า เพื่อการปฎิรูปประเทศ และเพื่อการเดินตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ยังมีปัญหาในตัวเองกล่าวคือ การปฏิรูปที่ผ่านมาแล้ว 2 ปี ยังไม่มีเห็นมีสิ่งใดเป็นรูปเป็นร่าง เป็นแก่นสารที่จะทำให้ประชาชนเชื่อมั่นได้
“ถ้าผมไปออกเสียงประชามติในคำถามนี้ ผมก็ต้องพิจารณาจากเหตุผลที่คุณอ้างมา เพื่อการปฎิรูปประเทศ ปฏิรูปอะไร ผมยังไม่เห็นนะว่าจะปฏิรูปอะไร หรือตามที่สื่อพูดกัน ปฏิรูปตำรวจ ปฏิรูปข้าราขการ มันมีประเด็นอะไรบ้างมั้ย แม้แต่สปช.เดิมที่ถูกยุบไป มันมีประเด็นอะไรบ้างที่เป็นแก่นสารที่ประชาชนเห็นแล้วต้องการ ฉันต้องการแบบนี้ อยู่ต่อหน่อยเถอะ ขอร้องช่วยอยู่ต่อหน่อย ก็ยังไม่เห็น” ตระกูลกล่าว
ตระกูลกล่าวต่อว่า การปฏิรูปถูกนำมากล่าวอ้าง และถูกนำไปอยู่รวมกับคำว่า แผนยุทธศาสตร์ชาติ คำถามที่ต้องคิดคืออะไรคือ แผนยุทธศาสตร์ชาติ เพราะเท่าที่ติดตามดูแผนยุทธศาสตร์ถูกจัดทำโดยหน่วยงานต่างๆ กระทรวง ทบวง กรม ซึ่งนั่นยังไม่เพียงพอที่จะเรียกว่า แผนยุทธศาสตร์ชาติ โดยตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ยังเห็นไม่ชัดว่าอะไรคือยุทธศาสตร์ชาติที่สำคัญ
“การปฏิรูป กับแผนยุทธศาสตร์ มันเป็นการอ้างมาโดยมีเหตุมีผลหรือไม่ หรือว่าไม่กล้าที่จะใช้เหตุผลอื่น จึงใช้เหตุผลนี้” ตระกูลกล่าว
ตระกูลทิ้งประเด็นสุดท้ายให้คิดต่อไปว่า ภายใต้คำถามพ่วงที่ขอเวลา 5 ปี ให้ ส.ว. มีส่วนในการเลือกนายกรัฐมนตรี หากคำถามดังกล่าวผ่านการทำประชามติ ภายในเวลา 5 ปี สังคมไทยอาจจะไม่อยู่ภายใต้การควบคุมอย่างที่ผู้มีอำนาจคาดหวัง สังคมไทยไม่ได้อยู่ในห้องทดลองที่สามารถควบคุมปัจจัยต่างๆได้ สังคมมีความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ประชาชนตื่นรู้ ทางการเมือง ทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่ได้ง่ายตามที่ฝ่ายผู้มีอำนาจคิด และ 5 ปีต่อจากนั้นจะเป็นวิบากกรรมครั้งใหญ่ของรัฐบาลที่เกิดจาก บทเฉพาะกาลในร่างรัฐธรรมนูญมีชัย และที่เกิดจากคำถามพ่วงของ สนช.


ด้านไพโรจน์ เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามว่า การจะให้วุฒิสมาชิกเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่นั้น ผู้มีอำนาจกำลังตั้งคำถามดังกล่าวเพื่อตอบโจทย์อะไร เขาเห็นว่าคำถามดังกล่าวเป็นไปเพื่อการเปลี่ยนผ่าน ในความหมายว่าเป็นการเปลี่ยนผ่านซึ่งจะรักษาอำนาจของสถาบันทหารเอาไว้ โดยผ่องถ่ายอำนาจจาก คสช. ไปอยู่ใน ส.ว. 250 คน ซึ่ง คสช. จะเป็นผู้เลือก และ ส.ว. จะมีส่วนในการเลือกตัวนายกรัฐมนตรี และพยายามจะให้ความชอบธรรมกับอำนาจผ่านการลงประชามติจากประชาชน
“โครงสร้างรัฐธรรมนูญเขาออกแบบมาให้ ส.ว. มีอำนาจสูงอยู่แล้ว สิ่งที่เขาอยากได้ในการลงประชามติก็คือ แค่ให้เลือกนายกฯ เพิ่มขึ้นมา แท้จริงของเดิมก็มีอำนาจมากกว่าวุฒิสมาชิกปกติอ นี่คือสิ่งเขาเรียกว่าช่วงเปลี่ยนผ่าน ทีนี้ถามว่า คำถามเรื่องให้วุฒิเลือกนายกฯ มาจากไหน ก็มาจาก สนช. สนช. ก็มาจาก คสช. ส่วน ส.ว. 5 ปีแรกมาจากไหน ก็มาจาก คสช. ดังนั้นคนที่สามารถสถาปนาอำนาจของวุฒิสมาชิกขึ้นมาก็คือ คสช.” ไพโรจน์กล่าว
ไพโรจน์กล่าวต่อไปว่า ส.ว. จะกลายเป็นพรรคการเมืองที่ใหญ่ และจะเป็นตัวแปรสำคัญที่สุด ซึ่งจะร่วมกันเลือกตัวนายกรัฐมนตรี เมื่อดูจากโครงสร้างทั้งหมดนั้นทำให้เห็นว่าเป็นการเปลี่ยนผ่านให้ สถาบันทหาร มีอำนาจอยู่ต่อไป

00000


ทั้งนี้ภายหลังจากการถกแถลงได้เสร็จสิ้นไปนั้น ‘กลุ่มพลเมืองผู้ห่วงใย’ ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้กระบวนการประชามติต้องมีเสรีภาพในการแสดงออกและเป็นไปอย่างโปร่งใส ร่วมแถลงโดย นฤมล ทับจุมพล, บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์, โคทม อารียา, สุนัย เศรษฐ์บุญสร้าง และไพโรจน์ พลเพชร โดยมีผู้ร่วมลงชื่อในแถลงการณ์อีกกว่า 100 คน และมีองค์กรที่ร่วมลงนามสนับสนุนอีก 4 องค์กร ได้แก่กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ, คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35, มูลนิธิผสานวัฒนธรรม
และมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา ในแถลงการณ์ว่าด้วยการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 7 สิงหาคม 2559 นั้นมีหลักการและข้อเสนอต่อการทำประชามติว่า
1) กระบวนการทำประชามติต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส สุจริตและเที่ยงธรรมในทุกขั้นตอน
2) ในกระบวนการประชามติต้องเปิดให้มีการมีส่วนร่วมจากประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายที่เห็นและไม่เห็นด้วย ในการถกแถลงด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และรอบด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีพื้นที่สาธารณะที่ปลอดภัยสำหรับทุกฝ่ายในการแสดงความ เห็นตามกรอบของกฎหมาย
3) ประชาชนมีสิทธิชอบธรรมในการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตและอย่างสร้างสรรค์ เกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ และถือเป็นสิทธิพื้นฐานทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่ต้องได้รับการปก ป้องคุ้มครอง ดังนั้น การปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกด้วยเหตุผลและมาตรการทางความมั่นคง รวมถึงการนำผู้ที่มีความคิดเห็นต่างไปปรับทัศนคติ นอกจากจะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ยังเป็นการลดความชอบธรรมของกระบวนการทำประชามติอีกด้วย
4) ต้องมีการกำหนดให้ชัดเจนก่อนการทำประชามติว่าจะมีทางเลือกและกระบวนการอย่าง ไรต่อไปในกรณีที่ร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านการทำประชามติ เพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญที่คนไทยทุกฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันได้มากที่สุด โดยต้องให้ประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่ายสามารถถกแถลงและเสนอทางเลือกต่างๆ ได้อย่างเสรีและสร้างสรรค์
00000

ขณะเดียวกัน เมื่อเวลา 16.00 น. หลังจากงานถกแถลง "คำถามพ่วงท้ายมีนัยอย่างไร" และการแถลงข่าวของกลุ่ม ‘กลุ่มพลเมืองผู้ห่วงใย’ เสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้ายึดเอกสาร 7 เหตุผลไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ของกลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ NDM และเตรียมเชิญตัว เบญจรัตน์ แซ่ฉั่ว อาจารย์ประจำสถาบันสิทธิฯ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งกำลังถือเอกสารดังกล่าวอยู่ ไปยัง สน.ปทุมวัน โดยแจ้งว่า ต้องการพูดคุยด้วย แต่เมื่อผู้สื่อข่าว และผู้ร่วมงาน เข้าไปดูเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่ได้เปลี่ยนใจจากการขอเชิญตัว เป็นขอนามบัตรแทน เพื่อที่จะติดต่อเพื่อเรียกไปคุยวันอื่น
ทั้งนี้ เบญจรัตน์ เป็นหนึ่งในผู้ร่วมถกแถลงในงานที่จัดขึ้น โดยประเด็นหลักที่เธอกล่าวถึงวันนี้คือ การเรียกร้องให้เปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายได้แสดงความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญได้อย่างอิสระ โดยไม่ตกอยู่ภายใต้การปิดกั้นจากผู้มีอำนาจ

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

 
Top