0

ส่วนทัศนะของหมอพวกนี้ ขอพูดเพิ่มจาก อ.ปิ่นแก้ว Pinkaew Laungaramsri อีกบางข้อ
ข้อแรก คนกินเหล้าสูบบุหรี่เสียภาษีสูงมากนะครับ คิดดูว่าแค่ 2% ยังเป็นเงิน 4 พันกว่าล้านให้ สสส.ถลุงสบาย ถ้าบอกว่า "ร่วมจ่าย" ก็เป็นคนที่ร่วมจ่ายสูงสุดอยู่แล้ว เพียงแต่รัฐไม่ได้เอาเงินภาษีนี้มาใช้กับการรักษาพยาบาลโดยตรง
ข้อสอง ในภาพรวมมันคือทัศนะคนชั้นกลางระดับบนคนมั่งมี(สลิ่ม)ทุกอาชีพ ว่ากูเป็นคนจ่ายภาษี ทำไมรัฐต้องเอาเงินภาษีกูไปช่วยคนจน เครียด กินเหล้า โง่ ขี้เกียจ ขายเสียง ฯลฯ
มีคนอธิบายเรื่องคนจนก็เสียภาษีทางอ้อม แต่พวกนี้ไม่เข้าใจหรอก ประเด็นคือเราอยู่ในสังคมเหลื่อมล้ำสูงมาก ทุนนิยมทั่วไปก็เหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรมอยู่แล้วแต่สังคมไทยยิ่งเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรมกว่ามาก ในเรื่องโอกาส ความเสมอภาค การเข้าถึงบริการของรัฐ ระหว่างคนรวยคนจน ระหว่างเมืองกับชนบท ซึ่งรัฐไทยให้กับฝ่ายแรกมากกว่ามาโดยตลอด
ดูง่ายๆ แค่โอกาสทางการศึกษาระหว่างเมืองกับชนบท ลูกคนจนในชนบทไทย ที่เข้าเรียน ร.ร.บ้านหนองอีแหนบ กับลูกคนชั้นกลางในเมืองที่ได้เข้า ร.ร.สาธิต เข้าสวนกุหลาบเตรียมอุดม จนได้เรียนหมอเรียนวิศวะ ถามว่ารัฐจ่ายให้ใครมากกว่ากัน โดยยังไม่พูดถึงสาธารณูปโภคความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต การเข้าถึงสวัสดิการต่างๆ
สังคมทุนนิยมถือว่าคนชั้นกลางระดับบนคนมั่งมี มีรายได้สูงกว่าจากโอกาสที่สูงกว่า ในกลไกที่เหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรม จึงต้องจ่ายภาษีคืนรัฐมากกว่า เพื่อคืนความเป็นธรรม แต่สังคมไทยนี่แม่-ทุเรศกว่า เหลื่อมล้ำสูงกว่าทุนนิยมฝรั่งตั้งเยอะ กลับมองว่าตัวเองถูกเก็บภาษีไม่ยุติธรรม
ข้อสาม เราอย่าไปว่าหมอพวกนี้ไม่มีเมตตาธรรม อ๊ะอ๊ะ เขาอาจมีเมตตานะ ถ้าอยู่ในระบบอนุเคราะห์ คนไข้ยากจนเป็นพิษสุราเรื้อรังไปอ้อนวอนขอความเมตตา เขาอาจรักษาให้ฟรี แต่ 30 บาทมันไปทำลายความเมตตาไง มันทำให้คนไข้ตาดำกลายเป็น "ประชาชนผู้มีสิทธิถ้วนหน้า" แล้วทำให้หมอกลายเป็น "เจ้าหน้าที่รัฐผู้มีหน้าที่บริการประชาชน" ข้อนี้แหละที่ทนไม่ด๊ายทนไม่ด้าย



แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

 
Top