0

ชะตากรรมของสาวใช้ต่างชาติที่ถูกข่มขืนจนตั้งท้องในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) การมีเพศสัมพันธ์นอกสมรสถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย และข่าวคราวของหญิงชาวต่างชาติที่เข้าไปทำงานในประเทศนี้ และถูกจำคุกด้วยความผิดดังกล่าวก็เกิดขึ้นเป็นประจำ หนึ่งในนั้นคือสาวใช้ชาวฟิลิปปินส์คนหนึ่งที่ถูกข่มขืนจนตั้งท้อง แล้วพยายามหาทางกลับบ้านเกิด เพราะกลัวว่าจะต้องรับโทษจำคุกจากความผิดที่เธอไม่ได้เป็นผู้ก่อ
โมนิก้า เป็นหญิงสาวจากหมู่บ้านในชนบทของฟิลิปปินส์ที่ตัดสินใจจากสามี และลูกน้อย 3 คน ไปทำงานเป็นแม่บ้านในยูเออี เพื่อให้ลูก ๆ ของเธอได้มีชีวิตที่ดีกว่าเดิม โมนิก้าบอกว่าเธอทำงานเป็นแม่บ้านให้กับชาวเอมิเรตส์ครอบครัวหนึ่ง ในช่วงแรก ๆ นั้น เธอตื่นเต้นกับงานที่ทำมาก เพราะห้างสรรพสินค้าที่หรูหรา และอาคารสูงเสียดฟ้าในนครดูไบและกรุงอาบูดาบี แตกต่างไปจากหมู่บ้านชนบทที่เธอจากมาอย่างสิ้นเชิง แต่เมื่อเวลาผ่านไป โมนิก้าเริ่มคิดถึงลูก ๆ และรู้สึกว่าตนเองถูกกดขี่ให้ทำงานหนัก และนายจ้างก็ใจร้ายกับเธอ
จุดหักเหในชีวิตของโมนิก้า เกิดขึ้นในวันหนึ่งหลังจากทำงานไปได้ไม่กี่เดือน ในวันนั้นครอบครัวนายจ้างไม่อยู่บ้าน และทิ้งให้เธออยู่กับคนขับรถชาวปากีสถานตามลำพัง ซึ่งตอนนั้นเองชายคนดังกล่าวได้ใช้มีดขู่บังคับแล้วข่มขืนเธอ โมนิก้าได้แต่เก็บเรื่องนี้ไว้ไม่กล้าบอกใคร แต่ 3 เดือนต่อมา เธอก็พบว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์
ตามกฎหมายของยูเออีบัญญัติไว้ว่า การมีเพศสัมพันธ์นอกสมรสเป็นความผิดอาญา ถือเป็นความผิดที่เรียกว่า Zina ซึ่งอยู่ในหมวดเดียวกับการคบชู้ การลักลอบได้เสียก่อนแต่งงาน และการมีเพศสัมพันธ์กับคนเพศเดียวกัน นอกจากนี้การที่โมนิก้าไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าตนเองถูกข่มขืนนั้น การตั้งครรภ์จึงเป็นหลักฐานบ่งชี้ถึงความผิดของเธอ ด้วยความกลัวที่จะต้องรับโทษจำคุก โมนิก้าจึงพยายามเก็บงำเรื่องการตั้งท้องเอาไว้ให้นานที่สุด
แม้จะไม่มีการเปิดเผยตัวเลขของผู้ถูกตัดสินให้มีความผิดตามกฎหมาย Zina แต่ก็ชัดเจนว่า ผู้กระทำผิดส่วนใหญ่เป็นหญิงชาวเอเชียและแอฟริกาที่เข้าไปทำงานเป็นแม่บ้านให้เหล่าเศรษฐีในยูเออี ขณะที่การตรวจสอบของบีบีซีภาคภาษาอาหรับพบว่า ในแต่ละปีมีหญิงต่างชาติที่เข้าไปทำงานในยูเออีหลายร้อยคน ถูกจำคุกในความผิดตามกฎหมาย Zina ซึ่งรวมถึงการมีความสัมพันธ์ทางเพศโดยสมัครใจ
องค์การฮิวแมนไรท์วอทช์ระบุว่า กฎหมาย Zina ของยูเออี ละเมิดกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และกลุ่มพิทักษ์สิทธิมนุษยชนหลายกลุ่มก็ชี้ว่า กฎหมายดังกล่าวถูกบังคับใช้กับสตรีอย่างไม่เหมาะสม และมักถูกใช้เป็นเครื่องมือใส่ร้ายสตรี อย่างไรก็ตามแม้จะมีหญิงต่างชาติถูกตัดสินให้ถูกลงโทษด้วยการเฆี่ยนตี และการขว้างหินใส่จนเสียชีวิตฐานทำผิดกฎหมาย Zina แต่ก็ไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่ามีการลงโทษด้วยวิธีเหล่านี้อยู่จริงในยูเออี
จากการตรวจสอบของบีบีซีพบว่า ผู้หญิงที่ถูกกล่าวหาว่ามีเพศสัมพันธ์นอกสมรสมักถูกจับตีตรวนและล่ามโซ่ ขณะที่การติดต่อไปทางรัฐบาลยูเออีเพื่อขอสัมภาษณ์ถึงเรื่องกฎหมาย Zina และการปฏิบัติต่อลูกจ้างต่างชาติที่ทำงานตามบ้านก็ไม่ได้รับการตอบสนองใด ๆ โดยคนงานเหล่านี้ถูกนำตัวเข้าไปทำงานในยูเออี ภายใต้ระบบที่เรียกว่า Kafala ซึ่งให้สิทธิ์ขาดแก่นายจ้างเกี่ยวกับสิทธิ์ในการทำงาน การเปลี่ยนงาน และการเดินทางกลับประเทศบ้านเกิดของลูกจ้าง ซึ่งเป็นระบบที่ถูกวิจารณ์ว่าไม่มีการคุ้มครองทางกฎหมายอย่างเหมาะสม ทำให้ลูกจ้างที่ทำงานตามบ้านเสี่ยงถูกเอารัดเอาเปรียบและถูกทารุณ
ฮิวแมนไรท์วอทช์ ได้สัมภาษณ์ลูกจ้างต่างชาติหญิงที่ทำงานตามบ้านในยูเออี 99 คน จากทั้งหมดราว 146,000 คน พบว่า คนเหล่านี้ต้องทำงานหนัก บางรายถูกบังคับให้ทำงานเยี่ยงทาสวันละ 21 ชม. โดยไม่ได้เงินค่าจ้างล่วงเวลา บางครั้งก็ถูกนายจ้างยึดเงินเดือนและหนังสือเดินทาง ถูกกักขังในบ้าน ไม่ให้ได้รับอาหารและพักผ่อนอย่างเหมาะสม ลูกจ้างบางรายถูกทารุณกรรมทั้งทางร่างกายและทางเพศ
ในกรณีของโมนิก้านั้น เมื่อเธอไม่สามารถปกปิดการตั้งครรภ์ได้อีกต่อไป ในช่วงฤดูร้อนปีก่อน เธอได้ขอนายจ้างเดินทางกลับฟิลิปปินส์ แต่นายจ้างไม่ยอมโดยอ้างว่ายังทำงานไม่ครบตามสัญญา โมนิก้าจึงใช้เฟซบุ๊กติดต่อไปยังรายการวิทยุชื่อดังของฟิลิปปินส์ แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในรายการ ในที่สุดเรื่องราวของเธอก็โด่งดังไปทั่วประเทศจนรัฐบาลฟิลิปปินส์เข้าไปช่วยประสานงานแล้วพาเธอกลับประเทศหลังจากนั้นไม่นาน
เมื่อกลับมาถึงฟิลิปปินส์ โมนิก้าก็กลับไปอยู่กับครอบครัวของเธอ แม้ในช่วงแรกสามีจะยังทำใจไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ในที่สุดเขาก็ให้อภัยและยอมรับทารกในท้องของเธอ ซึ่งจากการตรวจของแพทย์ยืนยันว่าลูกในท้องของโมนิก้าเป็นเด็กผู้ชาย

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

 
Top