นักวิชาการหนุนชาวบ้านสร้ างฐานเศรษฐกิจชุมชนในพื้นที่ โปแตชอุดรธานี
Posted: 24 Oct 2015 08:25 PM PDT (อ้างอิงจากอีเมล์ข่าว เวบไซท์ประชาไท)
นักวิชาการลงพื้นที่ชุมชนเหมื องโปแตซอุดรธานี ระบุปัญหาเศรษฐกิจครัวเรื อนและสุขภาวะเป็นปัญหาสำคัญที่ ไม่อาจละเลยได้ ต้องหันมาสร้างความมั่ นคงทางอาหาร ขณะเดียวกันก็สามารถสร้ างเศรษฐกิจชุมชนได้ด้วย
เมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2558 ที่ผ่านมา ณ วัดอรุณธรรมรังษี บ้านโนนสมบูรณ์ ต.ห้วยสามพาด อ.ประจักษ์ศิลปาคม จ.อุดรธานี คณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานี ร่วมกับ สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเวทีแลกเปลี่ยนปัญหาเศรษฐกิ จและสุขภาวะชุมชน : ทางเลือกทางรอดในอนาคต ภายใต้โครงการสานพลังสังคมเครื อข่ายนักวิชาการและนักกิ จกรรมทางสังคมรุ่นใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่เป็ นธรรมและปัญหาสุขภาวะภาคอีสาน โดยการสนับสนุนงบประมาณจากสำนั กงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริ มสุขภาพ (สสส.) มีตัวแทนชาวบ้านในพื้นที่เข้าร่ วมจำนวนกว่า 30 คน
นายฐากูร สรวงศ์สิริ นักวิจัยโครงการฯ กล่าวว่า เวทีนี้เป็นการจัดต่อเนื่ องจากการถอดบทเรียนของกลุ่ มชาวบ้านในพื้นที่โครงการเหมื องแร่โปแตชอุดรธานี ทำให้เราพบว่าปัญหาเศรษฐกิจครั วเรือนและสุขภาวะเป็นปัญหาสำคั ญที่ไม่อาจละเลยได้ ชุมชนจึงเล็งเห็นความสำคัญร่ วมกันก็เลยนำมาสู่การเก็บข้อมู ลเศรษฐกิจและสุขภาวะชุมชน หลังจากได้ข้อมูลและนำไปวิ เคราะห์ตามหลักวิชาการ วันนี้ทางทีมวิจัยจึงนำข้อมู ลกลับมาแลกเปลี่ยนกับชาวบ้ านในพื้นที่
"ปัญหาของชาวบ้านทุกวันนี้เป็ นปัญหาเชิงโครงสร้างที่จะต้ องลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิ จและสุขภาวะ ทั้งนี้ โครงการนี้จะเกิดการแก้ไขปั ญหาในระดับชุมชนอย่างเป็นรู ปธรรมเพื่อสร้างกลไกการเสริมสร้ างเศรษฐกิจและสุขภาพชุมชนร่วมกั บหน่วยงานของรัฐ เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล อบต. และผู้นำภายในชุมชน เป็นต้น" นายฐากูรกล่าว
ด้านนายสันติภาพ ศิริวัฒนไพบูลย์ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานี และหัวหน้าโครงการฯ กล่าวว่า จากการสำรวจเศรษฐกิจครัวเรื อนของชุมชนในปัจจุบัน ก็พบข้อมูลที่น่าสนใจว่ารายจ่ ายของชุมชนที่สำคัญ คือค่าอาหารเกือบ 5,000 บาท/เดือน/ครัวเรือน รองลงมาคือค่าเล่าเรียนบุตร 2,000 กว่าบาท อันดับสามคือค่าชำระหนี้สิน และค่าผ่อนรถ ตามมา ซึ่งมันทำให้เห็นว่าสมัยก่อนชุ มชนอีสานสามารถพึ่งพาตนเองด้ านอาหารได้ แต่ทุกวันนี้ต้องพึ่ งพาภายนอกเกือบ 80% เช่น หมู่ ไก่ ไข่ และผัก และเกิดโรคภัยมากมายจากการบริ โภค
"เราจะต้องหันมาสร้างความมั่ นคงทางอาหาร ขณะเดียวกันก็สามารถสร้ างเศรษฐกิจชุมชนจากสิ่งเหล่านี้ ได้ และจะทำให้มีสุขภาวะที่ดี ตามมาด้วย นี่คือสิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้ และทำงานร่วมกันในอนาคต เพื่อสร้างความยั่งยืนให้ชุมชน"
อาจารย์สันติภาพ ยังกล่าวต่อว่า "เรื่องเหมืองแร่โปแตชจะเกิดหรื อไม่เกิดก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่จะห้ามชาวบ้านไม่ให้สู้ก็ไม่ ได้เพราะมันเป็นวิถีชีวิตของเขา ขณะเดียวกันชาวบ้านจะต่อสู้อย่ างเดียวโดยไม่สนใจเรื่องเศรษฐกิ จเรื่องปากท้องมันก็ไม่ได้เช่ นกัน ทั้งนี้ ถ้าชุมชนมีความเข้มแข็ง มีรายได้ที่มั่นคง มีเศรษฐกิจและสุขภาวะที่ดี มันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องนำไปสู่ การพัฒนาอะไรที่ไม่เอื้อต่อสุ ขภาพ"
ในส่วนของนายบุญเลี้ยง โยทะกา ชาวบ้านในพื้นที่ซึ่งได้เข้าร่ วมโครงการฯ กล่าวว่า โดยส่วนใหญ่ชาวบ้านในพื้นที่ จะทำการเกษตรเป็นหลัก แต่พบว่าปัญหาในปัจจุบั นของชาวบ้าน คือ การบริโภคและมักวิ่งตามตลาด เช่น เห็นเขาปลูกอ้อย ยางพารา มันสัมปะหลัง และปาล์ม ฯลฯ ก็แห่ทำตามกันไป ขณะเดียวกันก็มีการจ้างแรงงาน ใช้เครื่องจักรกล ใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง เพิ่มมากขึ้น แต่พอเอาไปขายกลับขาดทุน และมีโรคภัยไข้เจ็บตามมาอีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้ส่ งผลกระทบต่อเศรษฐกิจครัวเรือน และปัญหาต่อสุขภาวะของคนในชุ มชนเป็นอย่างมาก
"โครงการนี้จะเกิดประโยชน์แก่ชุ มชนเป็นอย่างมาก เพราะทำให้เราได้หันกลับมามอง และสำรวจตัวเองมากขึ้น จนเห็นได้ว่าปัญหาเศรษฐกิจในครั วเรือนและสุขภาพกลับเป็นเรื่ องที่อยู่ใกล้ตัว คือเรื่องปากท้อง อาหารการกิน ดังนั้นพวกเราควรรวมกลุ่มกันเพื ่อสร้างฐานเศรษฐกิจชุมชนให้เข้ มแข็ง โดยมีทีมนักวิชาการคอยเป็นพี่ เลี้ยงให้คำปรึกษา"
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น